2554-12-27

โยนก้อนหินลงบนผิวน้ำ


เมื่อก้อนหินหล่นลงน้ำ
ฉันมองเห็นอะไร?
ระพี  สาคริก
๑ ตุลาคม ๒๕๕๐

       ทความเรื่องนี้ ฉันตื่นขึ้นมานั่งเขียนแก้ไขปรับปรุงใหม่ตั้งแต่ตีสี่กว่า ๆ ของวันที่ ๕ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๐ เนื่องจากเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน และมีความลึกซึ้งเป็นอย่างมาก สำหรับหลายๆคน แต่มันก็เป็นธรรมชาติและเป็นธรรมดาของคนส่วนใหญ่ในสังคมยุคนี้ที่คิดได้แค่นั้น 

ากมีก้อนหินก้อนหนึ่งหล่นลงไปในน้ำ หรือไม่ก็อาจมีใครสักคนโยนก้อนหินลงน้ำ ถ้าจะถามว่าภาพรวมที่พบได้จากสิ่งดังกล่าวนั้นคืออะไร คำตอบก็คือ ทันทีที่หินก้อนนั้นกระทบกับผิวน้ำ ย่อมมีเสียงและมีคลื่นที่เกิดขึ้นบนพื้นผิวน้ำเป็นวงรอบตัวเอง คงต้องตั้งคำถามขึ้นมาถามว่า เราได้อะไรจากภาพที่แลเห็นอยู่ในขณะนั้น? 

คำตอบก็คือ บริเวณผิวน้ำซึ่งอยู่ใกล้หินที่สุด ย่อมมีคลื่นขนาดใหญ่ที่สุดเกิดขึ้น หลังจากนั้นวงของคลื่นที่เกิดก็จะขยายขอบข่ายออกไป อีกทั้ง มีขนาดคลื่นเล็กลงและขยายตัวตามกันออกไปอย่างเป็นระลอก จนในที่สุดก็ค่อยๆกลืนหายไปกับผิวน้ำอย่างเป็นธรรมชาติ 

ถ้าจะถามต่อไปอีกว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าวเป็นธรรมชาติของอะไร หากพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นธรรมชาติระหว่างหินซึ่งเป็นของแข็งกับน้ำที่มีสภาพเป็นของเหลว จนกระทั่งทำให้ไวต่อการถูกกระทบโดยของแข็ง จึงกลายเป็นระลอกคลื่นรอบตัวเอง 

หากแต่ละคนเกิดความเคยชิน จนกระทั่งทำให้รู้สึกว่าเป็นเรื่องธรรมดาแล้ว ย่อมไม่นำมาคิด ถ้าใครนำมาคิดมักถูกบุคคลลักษณะดังกล่าว กล่าวหาว่า คิดอะไรไม่เข้าเรื่อง ทั้งๆที่ธรรมชาติได้มอบจิตวิญญาณและสมองมาให้แต่ละคนใช้คิด จึงควรนำสนใจทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในวิถีชีวิตประจำวันของแต่ละคนมาคิด เพื่อค้นหาความจริงให้ถึงที่สุด โดยหวังรักษาภูมิปัญญาภายในรากฐานจิตใจตนเองเอาไว้ให้มั่นคงแน่หนายิ่งขึ้น 

อนึ่ง เมื่อกล่าวถึงปรากฏการณ์ธรรมชาติ ย่อมไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวแล้วก็จบไปเลยเท่านั้น ดังนั้น จึงควรจะเข้าใจว่า สิ่งที่ปรากฏภายในจิตวิญญาณตนเองเป็นเรื่องธรรมชาติของสรรพสิ่งต่างๆ ซึ่งมีทั้งการเกิดใหม่และการเปลี่ยนแปลงไปสู่สภาวะดับสูญเป็นธรรมดา โดยไม่มีการละเว้นว่าจะเป็นเรื่องอะไร สุดแล้วแต่ความปรารถนาของแต่ละคน 

แม้กระทั่ง น้ำที่ไหลผ่านอากาศลงมาสู่พื้นดิน หากน้ำมีมวลแน่หนามากกว่าอากาศ ดังนั้น ขณะที่น้ำผ่านอากาศลงมา ย่อมมีทั้งคลื่นเสียงและผลกระทบกับอากาศ แต่เสียงอาจมีความถี่เกินกว่าที่หูเราจะรู้สึกได้ และคลื่นที่อากาศกระทบกับน้ำก็ค่อยๆจางหายไปในที่สุด 

ดังนั้น ถ้าหวนกลับมาพิจารณาพฤติกรรมของมนุษย์ในโลก ซึ่งมีความแตกต่างอย่างหลากหลาย อีกทั้งสิ่งที่เกิดขึ้นจากการกระทำของมนุษย์บุคคลใดบุคคลหนึ่ง หากได้รับความสนใจจากคนทั่วไป เริ่มต้นจากผู้ที่อยู่ใกล้ตัวมากที่สุด ย่อมขยายขอบข่ายกว้างขวางออกไปได้เองตามกาลเวลาอย่างเป็นธรรมชาติ จนกระทั่งในที่สุด ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะค่อยๆกลายไปอยู่ในสภาพที่เป็นปกติ 

ในด้านกาลเวลาก็เช่นกัน หากมีบุคคลใดบุคคลหนึ่งสร้างผลงานที่ชูเด่นขึ้นมา ทำให้คนรอบข้างรู้สึกศรัทธาเชื่อถืออย่างสูง แต่สภาวะสูงสุดก็คงจะอยู่ภายในรากฐานจิตใจบุคคลผู้นั้น ถัดจากนั้นมาสิ่งที่ได้รับการพัฒนาก็จะถูกกระทบทำให้ถ่ายทอดออกมาสู่วงกว้างแต่ก็ใช่ว่าจะมีสภาพเป็นปกติเหมือนเดิมไม่ 

หลังกาลเวลาผ่านพ้นมาแล้ว สภาพความรู้สึกดังกล่าว ย่อมผ่านกลุ่มบุคคลรอบข้าง แล้วจึงขยายวงกว้างออกไป จนกระทั่งค่อยๆจางหายไปจากความทรงจำในที่สุด แม้แต่การถ่ายทอดแนวคิดความเชื่อในกระบวนการเรียนรู้ของแต่ละคนที่นับถือศาสนาก็เช่นกัน อันถือเป็นธรรมชาติของปรากฏการณ์จากชีวิตของมวลมนุษย์ในโลก ซึ่งมีเหตุผลสานถึงซึ่งกันและกันทั้งหมด 

ฉันมีตัวอย่างที่ตนพบกับความจริงด้วยตนเองมาแล้วกล่าวคือ ครั้งหนึ่งเมื่อประมาณสี่-ห้าปีที่ผ่านมา มีทีมงานทำสารคดีจากสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งขออนุญาตเข้ามาพบเพื่อสัมภาษณ์เรื่องราวต่างๆที่เกี่ยวกับประวัติชีวิต 

หลังจากตกลงนัดหมายกันเรียบร้อยแล้ว เมื่อถึงวันนัดคณะทำงานจากสถานีโทรทัศน์แห่งนั้นได้มายืนอยู่หน้าบ้าน โดยที่ฉันไม่ทราบและเปิดรายการก่อนจะเข้ามาสัมภาษณ์ฉันในบ้านโดยขึ้นต้นกล่าวว่า 

ที่นี่หน้าบ้าน ศาสตราจารย์ระพี สาคริก ซึ่งเป็นอดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และเป็นอดีตรัฐมนตรีด้วย 

หลังเปิดรายการแล้ว จึงเข้ามาในบ้านและเริ่มต้นถามฉันว่า ขณะนี้อาจารย์เป็นอะไร และทำอะไรอยู่? 

ฉันตอบจากใจจริงว่า ....ฉันเป็นคน และทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเรียนรู้ความจริงจากคนทุกรูปลักษณะ 

ณ จุดนี้เองอาจทำให้หลายคนสงสัย บางคนก็คิดว่าฉันพูดเล่น บางคนก็คิดว่าฉันพูดยวน แต่ตนคิดว่าพูดจากความจริงที่อยู่ในใจ แม้ใครจะรู้ได้ถึงหรือไม่ ย่อมเป็นเรื่องของบุคคลผู้นั้น 

มีความตอนหนึ่งซึ่งผู้ขอสัมภาษณ์กล่าวว่า อยากให้ผู้ใหญ่หลายๆคนคิดอย่างท่านอาจารย์บ้าง เพราะท่านเป็นคนเก่งมาก 

ฉันจึงตอบไปตามความจริงที่ตนเห็นได้ว่า ถ้าคิดว่าใครคนหนึ่งเก่งแล้วอยากให้คนอื่นเก่งตามบ้าง มันไม่น่าจะสอดคล้องกันกับความจริงของชีวิตที่อยู่บนพื้นฐานความหลากหลาย 

สำหรับฉันเอง เข้าใจว่า ตนไม่ได้เก่งกว่าใครเลย หากเราแต่ละคนต่างก็เป็นคนเหมือนกัน บางคนอาจคิดว่าฉันเก่งกว่าคนอื่น แต่สำหรับความรู้สึกจากใจฉันกลับมองเห็นว่า ตัวเองเป็นเพียงชีวิตหนึ่งซึ่งอยู่บนพื้นฐานความหลากหลายเท่านั้น ถ้าใครคิดว่าคนอื่นต้องเหมือนฉัน ย่อมหมายความว่าคนเราต้องเหมือนกันหมด ซึ่งขัดกันกับความจริงที่อยู่บนพื้นฐานธรรมชาติ 

ฉันกลับรู้สึกว่าเรียนอะไรก็ตาม อย่างน้อยไม่น่าจะดูถูกสิ่งที่เป็นพื้นฐาน แม้จะเรียนภาษาไทยผ่านมาจนกระทั่งถึงขั้นที่เข้าใจสิ่งต่างๆได้อย่างหลากหลายแล้ว แต่พื้นฐานสำคัญน่าจะอยู่ที่ความจริง ซึ่งลงรากฝังลึกอยู่ในใจตนเองมาก่อน ย่อมมีผลสื่อความหมายกับทุกคนได้ทั้งหมดอย่างเป็นธรรมชาติ 

ฉันนึกถึงการเรียนวิทยาศาสตร์ของฉันในช่วงเริ่มแรก ชวนให้มีข้อมูลเกี่ยวกับนักวิทยาศาสตร์ที่นำมาใช้อ้างอิงผ่านบันทึกข้อเขียน ซึ่งอยู่ในตำราเรียน 

นักวิทยาศาสตร์คนนั้นก็คือ อคิมีดิส ซึ่งเป็นผู้ค้นพบทฤษฏีความถ่วงจำเพาะ โดยนำตัวเองลงไปในอ่างน้ำที่มีน้ำเต็มเปี่ยม 

เขาพบว่า น้ำที่ล้นออกมาจากอ่าง ย่อมมีปริมาตรเท่ากันกับปริมาตรตัวของเขา แม้ว่าจะเป็นทฤษฏีขั้นต้น แต่หากไม่มีสิ่งนั้น ชนรุ่นหลังคงยังไม่สามารถจะสืบทอดจากตรงนั้น อีกทั้งขยายขอบข่ายกว้างขวางออกไปและลึกซึ้งยิ่งขึ้นจนถึงปัจจุบัน ซึ่งทฤษฏีนี้ก็ยังคงใช้ได้ 

หวนกลับมานึกถึงก้อนหินก้อนหนึ่งซึ่งตกลงไปในน้ำ ทำให้เกิดคลื่นเป็นวงกลมรอบตัวเอง หลังจากนั้นมันก็ได้กลายเป็นระลอกคลื่นวิ่งตามกันออกไป จนกระทั่งในที่สุดผิวน้ำบริเวณนั้น ก็จะกลับคืนสู่สภาพเป็นปกติ 

หวนกลับมานึกถึงศาสนา ซึ่งปัจจุบันนี้ มีอยู่ในโลกมากกว่าหนึ่งศาสนา นอกจากนั้นแต่ละศาสนา ก็ยังเกิดจากรากฐานความคิดที่เชื่อกันว่า ลึกซึ้งที่สุดของกลุ่มบุคคลผู้เริ่มต้นคิดได้ แต่ก็หาใช่ว่าในโลกนี้จะเกิดขึ้นจากบุคคลเพียงคนเดียวไม่ เช่นเดียวกันกับหินก้อนหนึ่ง ซึ่งตกลงไปอยู่ในน้ำ แล้วคลื่นบนผิวน้ำที่เกิดขึ้นมันก็ค่อยๆกระจายหายไป วันหนึ่งข้างหน้าอาจมีอีกก้อนและอีกก้อนตามมาอีกก็เป็นได้ 

หากแต่ละจุดย่อมเกิดขึ้นบนพื้นฐานตนเองอย่างอิสระ โดยที่ต่างกรรมและต่างกาลเวลากัน ทำให้เกิดความเชื่อที่สานจิตใจคนแยกกันออกไปเป็นกลุ่มๆ แม้กาลเวลาจะผ่านพ้นมานานแค่ไหน ความเชื่อที่หยั่งรากลงลึกใกล้จุดเกิดที่สุด ย่อมค่อยๆแปรเปลี่ยนไปเป็นสภาพปกติเช่นเดียวกันกับคลื่นและผิวน้ำ ซึ่งหลังจากเกิดขึ้นแล้ว ย่อมค่อยๆคลี่คลายหายไปเป็นปกติอย่างเป็นธรรมชาติในที่สุด 

ดังนั้น หากชีวิตแต่ละคนมีทั้งรากฐานจิตใจและทิศทางของการเปลี่ยนแปลงที่มั่นคง ย่อมสามารถรู้และเข้าถึงสัจธรรมให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้ 

แต่สิ่งที่กล่าวมานี้มันไม่ใช่ก้อนหินแต่ละก้อนกับพื้นน้ำเท่านั้น หากเป็นจิตวิญญาณมนุษย์ที่มีความคิดและพฤติกรรม ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า กำลังถึงโค้งสุดท้ายของวิถีการเปลี่ยนแปลงของโลกแล้วหรือยัง 

หลังจากความจริงที่ผ่านพ้นกาลเวลามาพอสมควรแล้ว แทนที่จะหายไปทำให้เกิดสภาวะราบเรียบ หากรากฐานจิตใจคนที่เคยลึกซึ้งกลับตื้นเขินมากขึ้น ย่อมยากที่จะหยั่งลงไปถึงความจริงได้อย่างลึกซึ้ง เหมือนช่วงที่มีบุคคลผู้หนึ่งยืนเด่นขึ้นมาท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม 

ดังนั้น ความไม่เข้าใจระหว่างกัน ซึ่งเป็นผลทำให้เกิดการแบ่งพรรคแบ่งพวก ไม่เพียงแต่เรื่องศาสนาเท่านั้น แม้เรื่องอื่นใดก็ตามที่มีเงื่อนไขที่เป็นความจริงอยู่ในรากฐานจิตใจคนยุคนี้ 

ทั้งนี้และทั้งนั้น หากสามารถหวนกลับไปนึกถึงจุดเริ่มต้นของแต่ละศาสนา ดังที่กล่าวกันว่า ทุกศาสนาต่างก็มีสิ่งดีทั้งสิ้น อาจมีผู้ตั้งคำถามๆว่า พระเจ้า พระผู้เป็นเจ้า พระพุทธเจ้า คืออะไร? ฉันอาจตอบจากความรู้ความเข้าใจที่มีความจริงอยู่ในใจตนเองว่า “คือธรรมชาติ” ซึ่งแท้จริงแล้วหมายถึงธรรมชาติที่อยู่ในรากฐานจิตใจมนุษย์ในโลกนี้ที่เชื่อมโยงถึงกันและกันได้ทั้งหมด 

หากมองเห็นคุณค่าของสิ่งซึ่งตนคิดว่าสร้างปัญหา ทำให้นำปฏิบัติได้อย่างมั่นคงแข็งแกร่ง ย่อมมีผลชำระล้างเงื่อนไขที่อยู่ในรากฐานจิตใจตนเอง ช่วยให้แต่ละคนมีโอกาสเรียนรู้ความจริง ซึ่งมีอยู่ในจิตใจเป็นหนึ่งเดียวกันได้ทั้งหมด โลกนี้คงมีแต่ความสุขอย่างเป็นธรรมชาติ 




2554-12-24

คนเร่ร่อนไม่ใช่ “ขยะ” ที่รอการเก็บกวาดจากสังคม


ภาพแรกที่จะแวบขึ้นมาในสมอง เมื่อพูดถึงสนามหลวง นั่น คือภาพคนเร่ร่อนเนื้อตัวสกปรกมอมแมม บ้างนอน บ้างเดินไปเดินมา หรือนั่งยิ้มหัวเราะคนเดียว ซึ่งภาพเหล่านี้เราเห็นกันจนชินตา ทำให้หลงคิดไปว่า แม้เราจะไม่ยื่นมือเข้าไปให้ความช่วยเหลือเค้าก็อยู่ได้ ทั้งที่จริงทุกอย่างอาจไม่เป็นอย่างที่เราคิด

             เมื่อไม่นานมานี้ ทางศูนย์ข้อมูลคนหายเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ มูลนิธิกระจกเงา ได้รับการประสานงานจากพลเมืองดี ว่า ขอให้ ศูนย์ข้อมูลคนหาย ช่วยนำตัว บี (นามสมมติ) หญิงสาวประมาณ 30 ปี ส่งโรงพยาบาล หรือ สถานสงเคราะห์แห่งใดแห่งหนึ่ง เพื่อให้เธอได้หลุดพ้นจากสภาพชีวิตที่เลวร้าย สิ่งที่ ศูนย์ข้อมูลคนหาย ได้ทราบมีเพียงว่า เธอมาใช้ชีวิตอยู่ที่สนามหลวงเป็นเวลา 1 เดือนแล้ว แต่ด้วยสภาวะจิตใจของเธอ ที่ถูกมองว่า เป็นคนบ้า เสียสติไม่น่าเข้าใกล้ จึงทำให้เธอกลายเป็นคนไร้ค่าในสายตาของคนทั่วไป

             แต่คนที่ถูกสังคมตราหน้าว่า เป็นคนเสียสติ กลับถูกคนที่มีสติสัมปชัญญะครบถ้วนอย่างเช่นเรานั้น ทำร้ายร่างกาย และจิตใจอยู่เกือบทุกคืนวัน ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ ไม่ใช่ว่าไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น เพราะคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในบริเวณสนามหลวงทราบกันดี แต่กลับไม่มีใครยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ เสมือนหนึ่งว่า เธอไม่ใช่ มนุษย์คนหนึ่ง

             ซึ่งเรื่องนี้ อาจยังไม่ใช่เรื่องเศร้าเรื่องเดียวที่เกิดขึ้นกับเธอ เพราะเมื่อทางศูนย์ข้อมูลคนหาย พยายามประสานงานไปยังโรงพยาบาล หรือแม้กระทั่งสถานสงเคราะห์ เพื่อขอให้รับตัวเธอไว้ในการดูแล แต่ทุกที่กลับปฎิเสธ โดยบอกว่า เธอ เป็นภาระสำหรับสถานที่เหล่านั้น แรกที่ได้ยินคำนี้ เราแทบจะไม่เชื่อว่าประโยคนี้ จะออกมาจากปากของผู้ที่บอกว่า ตนมีการศึกษาสูง จนเราเริ่มไม่แน่ใจว่า การศึกษานั้นได้เคยสอนเรื่องจริยธรรม หรือ มนุษยธรรม กับเราหรือไม่

             เมื่อทุกที่ต่างปฎิเสธที่จะรับตัวเธอ เราจึงไม่แน่ใจว่า สุดท้ายแล้วคืนนี้ เธอ ยังจะต้องประสบชะตากรรมเช่นทุกคืนที่ผ่านมาหรือไม่ จนกระทั่ง ศูนย์ข้อมูลคนหาย ได้ประสานงานไปยังโรงพยาบาลของรัฐแห่งหนึ่ง ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง โดยแพทย์ ของที่นั่นยินดีที่จะรับตัวเธอไว้ในการดูแล นั่นย่อมแสดงว่า คืนนี้เธอจะได้รับการดูแลอย่างดีจากแพทย์ และพยาบาล ที่มองเห็นความเป็นมนุษย์ในตัวตนของเธออยู่

             นี่เป็นเพียงละครบทหนึ่งที่เกิดขึ้นในท้องสนามหลวง ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในพื้นที่ และนอกพื้นที่ ต่างทราบปัญหา แต่กลับไม่มีใครเข้ามาจัดการ ทั้งๆ ที่หน่วยงานเหล่านั้น ถูกจัดตั้งขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว และยิ่งเลวร้ายขึ้นไปอีกที่บางหน่วยงานออกมาประกาศหน้าสื่อว่า หากมีปัญหาอะไรให้ติดต่อมาหาตนได้ เรายินดีให้ความช่วยเหลือ แต่เมื่อมีผู้โทรไปขอความช่วยเหลือ กลับปฎิเสธ โดยอ้างว่า ตนไม่ว่าง ไม่ใช่หน้าที่ของตน

            หากเรายังเหยียบย่ำ ลดค่าความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น เพียงเพราะเขาไม่เหมือนกับเรา ปล่อยปละ ละเลย เพิกเฉย ด้วยคิดว่าไม่ใช่หน้าที่ และปล่อยให้คนเร่ร่อนเหล่านั้นกลายเป็นเพียง ขยะ ที่รอการเก็บกวาดจากสังคม สุดท้าย เราคงไม่เหลือความเป็น มนุษย์ เช่นเดียวกัน




ที่มา : นางสาวธิติมา หมีปาน ศูนย์ข้อมูลคนหายเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ มูลนิธิกระจกเงา
รูปภาพประกอบ : http://flickriver.com/photos/12392252@N03/tags/poor/




"อิจฉารากหญ้า" : บทสัมภาษณ์ซู่โม่ตู้ จรัสพงษ์ สุรัสวดี


1. เหตุผลของพี่ตู้ในการจัดทอล์คโชว์ครั้งนี้คืออย่างไรครับ ?  

เพราะพี่อิจฉารากหญ้าครับ การที่อนุญาตให้คนที่ไม่เรียนมีสิทธิเท่าเทียมคนที่เรียน เป็นกติกาสากลสำหรับ ประเทศที่ระดับการศึกษาเฉลี่ยสูงถึงขั้นปลอดภัยแล้ว การเลือกตั้งของเค้าจึงเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานได้ ซึ่งไม่ถูกต้องสำหรับประเทศที่การศึกษาเฉลี่ยต่ำครับ เพราะจริงๆแล้วสิทธิขั้นพื้นฐานเดิมนั้นกำหนดเฉพาะเรื่องพื้นฐาน เช่น การนับถือศาสนา การสาธารณะสุข การแสดงความคิด การสมรส สวัสดิภาพในการดำรงชีวิต ฯลฯ รวมไปถึง การศึกษา แต่ไม่รวมการเลือกตั้งเข้าไปในสิทธิขั้นพื้นฐานครับ อันตรายต่อความอยู่รอดของบางเผ่าพันธุ์ในทันที แต่เผ่าพันธุ์นั้นๆจะไม่ค่อยรู้ เพราะดันไปสงสารเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ที่ควรกำจัดเพราะเป็นภาระ เราไม่ได้เกรงใจภาระเพราะเราใจดีนะครับ เราเกรงใจภาระเพราะเราขี้ขลาด เราเกรงกลัวพวกภาระครับ

ภาระจึงได้ใจ ครอบครองเมืองโดยไม่ยอมพัฒนาพวกตน พี่อิจฉามันครับ

เมื่อการศึกษาคือสิทธิขั้นพื้นฐาน ใครไม่ยอมเรียนก็ต้องถือว่าผู้นั้นละเลยสิทธิขั้นพื้นฐาน ก็แปลว่าบกพร่องในหน้าที่ซึ่งโยงกับบางสิทธิ ผู้บกพร่องในหน้าที่ก็ควรถูกเพิกถอนบางสิทธิที่เกี่ยวข้อง เช่น สิทธิในการตัดสินใจเรื่องอนาคตของประเทศชาติ เพราะเราจำเป็นต้องกำหนดที่การศึกษาครับ ไม่ใช่กำหนดที่อายุเหมือนประเทศพัฒนา ตายซิ่ ระดับการศึกษาเฉลี่ยของเราต่ำกว่ามาตรฐานประเทศประชาธิปไตยในโลกครับ ไม่ต้องอาย ต่ำกว่ามากเลยจริงๆ ต้องยอมรับ ต้องแก้กติกาครับ ไม่งั้นตาย หลายศพแล้วด้วย และจะมีอีกครับถ้าไม่รีบแก้กติกา อย่าอาย เพื่อนร่วมชาติเราโง่ครับ ยอมรับซะจะได้แก้กติกากัน

ทำไมเราจึงไม่ให้ลิงบาบูนอายุ 18 ขวบมีสิทธิ์เลือกตั้งล่ะครับ

เพราะบาบูนไม่เรียนหนังสือ ไม่ใช่เพราะบาบูนไม่ใช่คนนะครับ บาบูนเหนือกว่าบางคนด้วยซ้ำ บาบูนหากินเองได้ ไม่ต้องรอเอื้ออาทร ไม่ต้องรอผ้าห่มทุกปี ก็ถ้าบาบูนเรียนหนังสือสอบผ่าน ม.6 ก็แปลว่าพูดกับคนรู้เรื่อง เราก็ควรให้สิทธิ์เลือกตั้งกับบาบูนครับ แต่นี่มีโง่กว่าบาบูนอีกนะ พูดก็ไม่รู้เรื่อง สะกดประชาธิปไตยก็ไม่ถูก ทำมาหากินก็ไม่ได้ ผ้าห่มก็หาเองไม่ได้ต้องแจกทุกปี แต่ดันมีสิทธิ์เลือกตั้ง อย่างงี้บาบูนค้อนครับ
ถ้ากุลีมีสิทธิเท่าบัณฑิต บัณฑิตจะลงทุนเรียนกันไปทำไมไม่ทราบครับ ประชาธิปไตยมันว่าด้วยเรื่องเสียงข้างมาก ฉะนั้น ประเทศไหนที่เสียงข้างมากไม่มีการศึกษา ประเทศก็ล่ม เพราะกุ๊ยซื้อกุ๊ยและกุ๊ยเลือกกุ๊ยแน่นอนครับ
พวกคอมมิวนิสนิยมก็สัพหยอกว่าพี่ตู้เป็น อำมาตยาธิปไตย แต่พี่เต็มใจเป็น อำมาตยาธิปไตย มากกว่า กุ๊ยยาธิปไตย นะจะบอกให้ แต่เดี๋ยวนะครับ อำมาตยาธิปไตยมันไม่ดีตรงไหนหรือครับ เทียบกับรัฐบาลรากหญ้าธิปไตยทุกวันนี้
มีคนเข้าใจสิ่งที่เข้าใจยากแบบนี้อยู่หยิบมือนึงบนแผ่นดินนี้ พี่ต้องทอล์คโชว์เพราะพี่ต้องการพูดคุยกับท่านเหล่านี้บ่อยๆครับ อาจไม่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงวันนี้ แต่พรุ่งนี้จะไม่มืดมน เพราะคนเหล่านี้จะเห็นทางออกไงครับ ถ้าไม่อวดเก่งกันนะ พรุ่งนี้หมายถึงวันรุ่งขึ้น ไม่ใช่ปีรุ่งขึ้นนะ เพราะทันทีที่รู้ทางออกก็บอกต่อกันแบบแอมเวย์แป๊บเดียวก็เข้าใจกันหมดแล้ว ซัก 2 วันมั้ง เพราะคนที่ฟังรู้เรื่องมีไม่ถึง 1 % ของประเทศ ที่เหลือไม่ใช่โง่ แต่ไม่ฟังครับ ซึ่งก็ไม่ได้แปลว่าอวดดี เพียงแต่โง่

การเปลี่ยนแปลงแผ่นดินต้องทำให้เด็ดขาดครับ ไม่ใช่ไล่ไปแล้วเลือกตั้งใหม่เพื่อให้พวกมันกลับมายิ่งใหญ่อีก มันตลกและดูไม่เด็ดขาดไม่จริงใจนะครับ ซึ่งพี่ก็สรรเสริญทุกการต่อสู้ของพันธมิตร เพราะชอบพอกันเป็นการส่วนตัวมาก แต่พี่ไม่ไปวิ่งชนกระสุนเพื่อให้รากหญ้าเลือกพวกมันกลับมาอีก คุณพ่อพี่สอนว่า อย่าให้คนไม่ดีมีโอกาสปกครองบ้านเมือง เพราะฉะนั้น การขับไล่ ต้องตามด้วย การกำจัด ซึ่งในอารยะประเทศเค้าใช้วิธีฆ่าทิ้งแบบเนียนๆแล้วแจงว่า ตายด้วยฝีมือคนวิกลจริต ซึ่งเรื่องก็เงียบ แต่ในอนารยะประเทศซึ่งขี้ขลาด ก็ใช้วิธีนุ่มนวล ซึ่งก็ตกเป็นเบี้ยล่างและสูญเสียเปล่า เพราะกลับมาเหมือนเดิมทุกอย่างหลังทุกการต่อสู้ พี่หงุดหงิดทุกครั้งเพราะวีรบุรุษของพี่เหนื่อยเปล่าทุกครั้ง เพราะไม่แก้ที่ระบอบไงครับ 

การเป็นวีรชนด้วยอารมณ์มักไม่แก้ปัญหาครับ ต้องแก้ปัญหาด้วยเหตุผล ซึ่งต้องแก้ที่ต้นเหตุ คือ การโกงกิน การแตกแยก และ สิทธิที่ไม่ควรเป็นขั้นพื้นฐาน ซึ่งพี่จะได้กล่าวรวมไว้ในช่วงท้าย ขยักเอาไว้ก่อนให้หงุดหงิดเล่นซะงั้น เป็นการคัดคนอ่านไงครับ 
ท่านใดที่อ่านถึงตรงนี้แล้วงง อย่าอ่านต่อนะครับเสียเวลาท่านเปล่าๆครับ ท่านก็ตั้งหน้าตั้งตาเลือกคนดีต่อไปนะ

 2. ชื่อของทอล์คโชว์ 'กรุงไม่แตก ก็เลี้ยงไม่โต' ต้องการจะบอกอะไรครับเหมือน'ไม่เจ็บ ก็ไม่โต' อย่างนั้นหรือเปล่าครับ ? 

จะแปลอย่างนั้นก็ได้ครับ แต่วลีที่ว่า ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต หมายถึง พิการ นะครับ สังคมไทยพิการเพราะเราคิดว่าเราทำได้อย่างซีกโลกหนาวครับ ลอกทุกอย่างของเค้ามา รวมทั้งระบอบการปกครอง โดยลืมคิดไปว่าไม่มีนวัตกรรมของเราที่เค้าซื้อไปใช้เลย มีแต่นวัตกรรมของเค้าที่เราซื้อมาใช้ เพราะเราไม่มีนวัตกรรมไงครับ สิ่งของเครื่องใช้ในการอำนวยความสะดวกของชีวิตประจำวันประดิษฐ์คิดค้นโดย คนซีกโลกหนาวแทบทั้งหมด เพราะเราไม่กล้าคิด เรากลัวคนที่คิดไม่ออกจะทักท้วงเรา เพราะคนที่คิดไม่ออกรู้ดีว่าถ้าทักท้วงแล้วจะดูเหมือนชนะในสายตาคนรอบๆ ซึ่งก็คิดตื้นแบบเดียวกัน จึงไม่มีกระบวนการคิดเกิดขึ้นในแถบซีกโลกร้อนที่ช่างทักท้วงครับ 
มหาบุรุษอย่าง เจ้าชายสิทธัตถะ และ มหาตมะคานธี เท่านั้นครับ ที่ฝ่าวงล้อมของนักทักท้วงได้สำเร็จ ด้วยจิตที่มั่นคง การทักท้วงโดยที่คิดเองก็ไม่ออกเป็นวัฒนธรรมซีกโลกร้อนทีอยู่ในสันดาน แก้ไม่ได้ครับ ทำให้เป็นประชาธิปไตยอย่างซีกโลกหนาวไม่ได้สักประเทศเดียว แต่ก็อยากจะเป็นประชาธิปไตยเพราะหลงตนกันครับ เหมือนการย้อมสีผมแล้วเป็นฝรั่ง 

สังคมที่พิการเกิดจาก การแก้ปัญหาด้วยอารมณ์ ไม่นิยมเหตุผล แต่พี่เห็นพันธมิตรใช้เหตุผลแล้วก็ไม่ได้ผลนะครับ เพราะต่อให้ใช้เหตุผลรัฐบาลหน้าด้านก็ไม่ลาออกครับ เพราะรากหญ้าเลือกเค้ามาด้วยเสียงที่มากกว่าบัณฑิต ซึ่งเราก็เถียงระบอบไม่ได้ เพราะบัณฑิต 14 ตุลาเอาอำนาจการตัดสินใจในเรื่องบ้านเมืองไปยัดให้รากหญ้า ซึงพวกเค้าไม่อยากได้ และ เล่นไม่ถนัด 
แต่พี่ว่าพวกเค้าเล่นถูกแล้วนะ เพราะเค้าเลือกคนที่ให้เงินเค้า เพื่อตอบแทนบุญคุณ ซึ่งเป็นการกระทำที่ถูกต้องในสายตาพวกเค้าเอง คือ การมีกตเวทิตาครับ รากหญ้าหัวเราะเยาะพวกเราที่แห่กันไปเลือกพรรคนั้นพรรคนี้โดยไม่ได้อะไรตอบแทนเลย พวกเราก็ดูโง่ในสายตาพวกเค้านะครับ

การโกงกินไม่ใช่สิ่งที่ผิดในสายตารากหญ้าครับ เพราะรอบหมู่บ้านเค้ามีแต่การโกงกินโดยผู้มีอำนาจมีฐานะ และมีคนยกย่องด้วยเพราะรวยนี่ เป็นที่พึ่งของทั้งหมู่บ้าน กลายเป็นเทพไปเลย แม้จะโกงมาก็ไม่ว่าเพราะทุกคนที่นั่นโกงแล้วได้ดีทั้งนั้น ทุกห้องแถวทั้งในกรุงและบ้านนอกก็ทำอาชีพซื้อถูกมาขายแพงโดยไม่เสียภาษีทั้งสิ้น ก็คือการโกงดีๆนี่เอง ไม่เห็นตำรวจจับนี่ เราเรียกร้องให้อุดหนุนร้านโชห่วยที่ไม่เสียภาษี และขับไล่ แมคโคร โลตัส คาฟู ที่เสียภาษี ทั้งๆที่ร้านโชห่วยก็เป็นของคนต่างด้าวเหมือนกัน บางร้านไม่พูดไทยด้วยซ้ำ เราเห็นว่าผิดแต่รากหญ้าเห็นว่าไม่ผิด เพราะเราดันยอมให้พวกที่คิดไม่เหมือนพวกเรามีสิทธิเลือกคนมาปกครองเราไงครับ เราต่างหากครับที่เป็นฝ่ายที่ทำผิดมาตลอด เรื่องอย่างนี้คนที่คิดได้เท่านั้นที่จะรู้ บางคนคิดไม่ได้ครับ คิดแล้วปวดหัวสลบเหมือดคาหลังควาย
ความไม่กล้าคิดทำให้ทุกสังคมพิการครับ สังคมที่พิการจะล่มแล้วล่มอีก ลุกกลับขึ้นมาได้ก็ป้อแป้ เดี๋ยวก็ล่มอีก โยนกก็ล่ม เชียงแสนก็ล่ม ล้านนาก็ล่ม ทวาราวดีก็ล่ม ศรีวิชัยก็ล่ม หริภุญชัยก็ล่ม สุโขทัยก็ล่ม อยุธยาก็ล่ม ธนบุรีก็ล่ม นี่ยังไม่รวม อ้ายลาว น่านจ้าว นะครับ เพราะนักวิชาการหลัง 14 ตุลาบอกว่า ไทยไม่ได้มาจาก อ้ายลาว น่านจ้าว เนื่องจากไม่ต้องการให้คนไทยคิดว่าเราโดนจีนรุกราน เพราะพวกเค้ากำลังจะเอาลูกจีนเข้าสภาปกครองคนไทย เราจึงเคยมีประธานสภาที่พูดไทยไม่ชัดมากันแล้ว หัวหน้าพรรคก็มาจากแซ่แทบทั้งนั้น พวกเขามาจากไหน ใยจึงมาปรารถนาดีต่อแผ่นดินที่ไม่ใช่ของบรรพบุรุษตน ช่างประหลาดเหลือล้ำ แวะมาปรารถนาดีต่อแผ่นดิน 4 ปีก็ดันมีคนลงคะแนนให้ เรียกว่า พิการหมู่ ครับ

ถึงเวลาต้องคิดระบอบใหม่กันแล้วครับ ถ้าไม่อยากให้อาณาจักรรัตนโกสินทร์ล่มอีก ถ้าคิดไม่ออกจงรู้จักฟังนะครับ ฟังแล้วก็ไม่ต้องคิดด้วยครับ เพราะเค้าคิดมาแล้วจะมาคิดทับอีกทำไม ช่วยกันคิดของใหม่ซิ่ครับ มาคิดทับกันอยู่นั่น คนไทยถนัดนักเรื่องคิดทับคนอื่น ฝรั่งเรียก ขโมยซีน ไทยเรียกว่า ไทยมุง หรือ รุมสกรัม หรือ หมาหมู่ นั่นเองครับ

3. พี่ตู้คาดการณ์ว่า บ้านเมืองของเราจะก้าวไปถึงจุดที่เรียกว่า 'กรุงแตก' หรือเปล่า เพราะอะไรครับ ?

เราแตกโดยพฤตินัยแล้วครับ ถ้ารอต่อไปโดยไม่ทำระบอบใหม่ เราจะแตกโดยนิตินัยครับ ก็จะเหมือน เขมรสามฝ่าย ลาวห้าฝาย เวียตนามเหนือใต้ เกาหลีเหนือใต้ ซึ่งตอนนี้เราก็มีไทยเหนือใต้แล้วนี่ใช่มั้ย
วันนี้ไทยแตกเป็นจีนสองฝ่ายตีกันบนแผ่นดินไทย ลูกจีนทั้งนั้นครับที่แสดงออกกัน ตั้งแต่ 14 ตุลาแล้วครับที่มีคำว่ากุมารจีน กุมารไทยนอนครับ เพราะรับราชการกลัวอำนาจรัฐ ลับหลังก็นินทาคนโกงแต่ต่อหน้าก็เดินตามตูด คนไทยแท้ตอแหลครับ สมเด็จพระนเรศวรทรงตรัสไว้ว่า พวกเจ้าคนไทยเปรียบเหมือนหญ้าที่ต้องคอยตัดเล็ม เมื่อปล่อยให้โตโดยอิสระจะหาระเบียบใดมิได้ เราจะเอาทองคำโปรยบนทางเดิน ผู้ใดจ้องมองด้วยดวงตากิเลส เราจะให้ทหารเอาธนูยิงลูกนัยน์ตา

อยุธยาช่วงนั้น สงบสุข น่าอยู่ เพราะไม่ทรงอนุญาตให้ไพร่ที่ต่ำช้าแสดงออกครับ มาวันนี้ที่ประชาธิปไตยเบ่งบานทะโล่ จัณฑาลก็บังอาจแสดงออกได้ และ ซื้ออำนาจเข้ามาปกครองบัณฑิต ซึ่งไร้น้ำยาเพราะพวกน้อยกว่า ประเทศที่คนมีการศึกษามีจำนวนน้อยกว่าคนที่ไม่มีการศึกษา จะยังเป็นประชาธิปไตยไม่ได้ครับ เพราะเสียงส่วนใหญ่จะโง่ จะวุ่นวายไม่จบสิ้น จะตะโกนแต่คำขวัญของกรรมกรคอมมิวนิส ประชาชนต้องเป็นใหญ่ในแผ่นดิน แล้วก็ตีกันด้วยอารมณ์ จบไม่ลงก็เดือดร้อนพ่อหลวงต้องมาระงับศึกทุกครั้งไป แต่ประชาชนก็ยังอยากเป็นใหญ่ในแผ่นดิน ของพระเจ้าอยู่หัว โดยไม่รู้จักเจียมตัว ดูแลแผ่นดินกันให้เรียบร้อยยังไม่ได้ แต่อยากเป็นใหญ่ในแผ่นดิน เป็นคอมมิวนิสที่แอบอ้างประชาธิปไตยมาต่อเนื่องครับ เพราะยังเชื่อกันว่า ถ้ากรรมกรเป็นใหญ่ฟ้าจะสีทองผ่องอำไพครับ ตัวอย่างมีให้เห็นในแผ่นดินคอมมิวนิสอื่นเยอะแยะ ยังจะดักดานกันอยู่อีก ก็วันนี้กุลีก็เป็นใหญ่ในแผ่นดินไทยแล้วนี่ครับ ฟ้าก็ยังสีแดง ทุกอย่างจะเรียบร้อยต่อเมื่อฟ้าสีน้ำเงินเท่านั้นครับ จงรับรู้ไว้ซะ 
ถ้าสิ้นพระบารมีเมื่อใด เราก็จะเหมือนอดีตของเพื่อนบ้านเราแน่นอนครับ คนที่ต้องการล้มสถาบัน เพื่อให้พวกตนคนต่างด้าวเป็นใหญ่ จึงต้องการเร่งให้สิ้นพระบารมีทุกวิธีโดยเร็วไงครับ

ซึ่งการสิ้นพระบารมีมิได้หมายถึงต้องสิ้นพระอายุขัยแต่อย่างใด การที่ทรงทำอะไรไม่ได้ต่อสถานการณ์บ้านเมือง ก็ถือเป็นการสิ้นพระบารมีในสายตาคนพวกนี้ ที่รอให้สถาบันเสื่อมเพื่อสร้างเงื่อนไขในการตั้งราชวงศ์ใหม่ ที่มาจากแซ่ครับ
วันเสียงปืนแตกของคอมมิวนิสต์ใกล้แล้วนะครับ แตกในกรุงนี่แหละ ..แตกกันเอง 


4. ถ้ากรุงมันจะแตกหรือไม่แตก แล้วมันเกี่ยวอะไรกับ 'วิชาประวัติศาสตร์' ล่ะครับ ? 

ประวัติศาสตร์สอนให้คนในชาติบังเกิด 3 สิ่ง สำนึก กตเวทิตา และ อุทาหรณ์ ปราศจาก 3 สิ่งนี้เราเป็นชาติไม่ได้ครับ
อ้ายลาว น่านจ้าว โยนก เชียงแสน ล้านนา ทวาราวดี ศรีวิชัย หริภุญชัย สุโขทัย อยุธยา ธนบุรี แตกหมดแล้ว เพราะไม่มีวิชาประวัติศาสตร์เรียนครับ อาณาจักรเหล่านี้เอาคนเชื้อสายต่างด้าวเข้ามาปกครอง เป็นรัฐมนตรีกระทรวงศึกษา และลบประวัติศาสตร์ทิ้งให้หันมาเลื่อมใสเชื้อสายต่างด้าวที่รวยเอารวยเอาไม่เลิก เพื่อให้เลิกนับถือพ่อและหันมานับถือเตี่ยใหม่แทนพ่อ

ไม่มีทางครับ คนไทยเติบโตมากับการปกครองแบบพ่อกับลูก เปลี่ยนไม่ได้ครับ ยังไงก็เปลี่ยนไม่ได้ แต่ปรับได้ ขอให้รอฟังในช่วงต่อไปด้วยความอึดอัดและหงุดหงิดนะครับ เพราะของดีต้องมาตอนจบ เหมือนทุกวิกฤติของบ้านเมืองที่ผ่านมา และ คราวนี้ก็ด้วย พ่อจ๋า หนูกราบขอบพระคุณ และ คิดถึงพ่อมาก พะย่ะค่ะ ทอล์คโชว์ครั้งนี้จัดเพื่อสนองกระแสรับสั่งของสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เรื่องวิชาประวัติศาสตร์ที่หายไปครับ

5. ถามตรงๆ ทอล์คโชว์คราวนี้มีประเด็นหลักๆ เป็นเรื่องการเมืองใช่หรือเปล่าครับ เพราะอะไร ?

การเมืองอย่างเดียวเลยครับ การเมืองตั้งแต่สมัยโยนกมาจนถึงสมัยราชวงศ์แซ่เบ๊อีก 50 ปีข้างหน้าครับ เราไม่รอดหรอกครับ เพราะเราแหย คนไม่แหยมีอยู่หยิบมือเดียว ที่กล้าฟังเรื่องพวกนี้ ที่เหลือนอนรอสิ่งศักดิ์สิทธิ์บันดาล ซึ่งบางทีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ทรงพระเบื่อเป็นนะครับ เพราะประชาชนอยากเป็นใหญ่ในแผ่นดิน แต่แก้ปัญหาในแผ่นดินกันไม่ได้ 
แผ่นดินเกษตรกรรมแหงนรอฝนฟ้าบันดาลมาเกือบพันปี แก้กำพืดนี้ไม่ได้ จะให้แก้ปัญหากันเอง ไม่มีวันครับ 
ในทอล์คโชว์วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคมนี้ ท่านผู้ชมที่มีกตเวทิตาและกล้าหาญสามารถสมัครคาราวาน กรุงเทพ – อยุธยา เดินทางวันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน เพื่อเยี่ยมคำนับแผ่นดินประวัติศาสตร์ที่ลูกหลานลืมหมดแล้วว่า บรรพบุรุษไทยก็ไม่ใช่ขี้ขี้ เพียงเพราะวันนี้ไม่มีวิชาบรรพบุรุษศาสตร์ให้ผองเราเฝ้าศึกษา ก็หาใช่ว่าวีรกรรมของผองท่านจะหาเคยปรากฏไม่ ใช้ภาษาวรรณกรรมแล้วซับซ้อนดี เหมือนที่ให้รากหญ้าอ่านรัฐธรรมนูญแล้วไม่รู้เรื่อง ก็ถามว่ากินได้มั้ย ทำให้ เรารู้ว่าค่อนประเทศคิดแค่เรื่องกิน คนที่พวกนี้เลือกมาจึงกินจุ ไม่รู้จักคำว่าพอเพียงของในหลวง ถือเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เช่นเดียวกับการเข้าคูหาไปกาเลือกสามัญชนมาใช้ พระราชอำนาจของพระองค์ ก็มิผิดเพี้ยน ผลกรรมจึงตามมาลงโทษทัณฑ์ให้เราต้องอยู่อย่างไร้ความสงบสุขฉะนี้เอง แต่แผ่นดินย่อมดูแลผู้ที่กาโนโหวตให้มีชีวิตที่สุขสบายไร้กังวล สามารถมานั่งให้สัมภาษณ์ได้อย่างสบายใจเฉิบๆอยู่ ณ ขณะนี้นั่นเองครับ

6. พี่ตู้มองความแตกต่างระหว่างเพลงเก่ากับนักการเมืองเก่ายังไงครับ ? เช่น เพลงยิ่งเก่ายิ่งอมตะ แต่นักการเมืองยิ่งเก่า ก็ยิ่งเก๋าและโกงเก่งอะไรอย่างงี้เป็นต้น 

น้องนิยามได้คมคายมากครับ พี่ชอบ เมื่อพี่ชอบพี่ก็ชมต่อหน้า คนไทยต้องแก้นิสัยไม่กล้าแสดงออกนะครับ ไม่ชม ไม่ด่า แล้วมันจะรู้มั้ยว่าเราเกลียดมัน พี่จึงยกย่องวีรกรรมของแกนนำพันธมิตรและผู้ร่วมชุมนุมและพี่จึงด่าคนที่พี่เกลียด เช่น รากหญ้า เพราะมันคือต้นตอแห่งปัญหาทั้งปวง คนที่มันเลือกมาสร้างปัญหาให้บัณฑิตเมืองหลวง ที่เสียภาษีไปเลี้ยงพวกมันที่โง่และขี้เกียจ พูดออกสื่อไม่ได้เพราะสื่อขี้ขลาดครับ จึงต้องมาทำทอล์คโชว์ เพื่อให้พูดได้โดยไม่ต้องเกรงใจสื่อที่ปอดแหก แต่ต้องพูดกับเฉพาะคนดูที่กล้าเท่านั้นนะครับ คนดูที่ขี้ขลาดอย่าซื้อบัตรทอล์คโชว์พี่นะ เดี๋ยวเยี่ยวแตกในโรงครับ สังคมที่ไม่กล้าแสดงออกไม่มีวันเป็นประชาธิปไตยได้ครับ คนที่ไม่กล้าแสดงออกก็เกิดมาหายใจเสียเปล่าไปชาตินึง เรียกว่า ดีแต่เกิด ซึ่งเป็นชื่อหนังสือเล่มแรกของพี่ ที่ผู้คนบอกว่าควรอธิบายชื่อหนังสือ พี่ก็บอกว่าถ้าไม่เข้าใจก็ไม่ควรอ่าน พี่ไม่เอาใจใครเลยครับ ไม่ใช่เพราะเป็นลูกทหารยศพลอากาศเอก ไม่ใช่เพราะไปโตเมืองนอกตอนคุณพ่อเป็นทูตลอนดอน ไม่ใช่เพราะเป็นนิสิตดีเด่นเพชรชมพูของจุฬา แต่เพราะพี่เหนื่อยกับการอธิบายคนที่ฟังไม่เป็นครับ ต่อให้พี่อธิบายจนมันเข้าใจแล้วมันก็ไปนอน แล้วมันจะสงสัยไปทำไม ไม่ใช่คนสำคัญอะไรเลย ไม่ได้เป็นแม้แต่ทรัพยากรที่มีคุณค่าอะไรต่อแผ่นดินเลย แต่ขี้สงสัย ถามจังเลย แผ่นดินสยามไม่ต้องมีมันก็ได้ครับ เปลืองออกซิเจนสยาม พี่เลือกพูดกับเฉพาะคนที่มีไอคิว ฟังเป็น เข้าใจเป็น คิดต่อเป็น คนเหล่านี้มีประโยชน์ต่อส่วนรวม พี่ต้องพูดกับเค้าครับ แต่ไอ้ประเภทฟังแล้วขี้ขโมย เช่น พี่ตู้คิดเหมือนผมเลย พวกนี้พี่ถีบเบาๆแล้วสอนครับ ท่านคิดสิ่งดีๆแล้วไม่พูดออกมา มึงจะคิดไปทำไม พลังเงียบไม่มีพลังนะครับไอ้โง่ !!ได้ผลหลายรายแล้วครับ จริงๆคือ มันฟังเสร็จแล้วเห็นด้วย แต่วางฟอร์ม ก็พูดว่าคิดเหมือนกัน ไม่ใช่มันคิดเหมือนพี่นะ มันบอกว่าพี่คิดเหมือนมัน แปลว่ามันคิดก่อน บัณฑิตที่เรียนถึงปริญญาเอกยังเป็นเลยครับสันดานนี้ คือ คอรัปชั่นดีๆนี่เอง มาจากการตักกับข้าวจากกลางโต๊ะมาใส่จานตัวเอง คือ เอาของส่วนรวมมาเป็นของตน ซึ่งเราสอนเด็กให้โกงตั้งแต่เล็กๆมาโดยไม่รู้ตัวกันครับ ประเทศที่เป็นประชาธิปไตยในซีกโลกหนาว เวลากินข้าวต้องจานใครจานมัน ไม่มีการตักจากกลางโต๊ะทีละคำ มันตักทีเดียวราดเสร็จไปเลย เป็นการวางแผนระยะยาว ไทยเราคิดทีละคำ แล้วตะกละด้วยนะ กับข้าวหลายอย่างมาก เมืองหนาวมันกินมื้อละอย่าง เพราะยังมีมื้อหน้าค่อยกินอย่างอื่น มื้อนั้นไม่ใช่มื้อสุดท้ายของชีวิต มันคิดกันได้ไงครับ ถ้าเราสอนเด็กกินข้าวราดแกงตั้งแต่เล็ก เด็กจะโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ตะกละ ไม่ขโมยของส่วนกลาง รู้จักวางแผน และ คิดเป็นว่าทุกมื้อไม่ใช่ THE LAST SUPPER เพราะคิดกันไกลอย่างเมืองหนาวไม่ได้ เนื่องจากอุดมสมบูรณ์ ไม่มีการอดอยากหน้าหนาวอย่างพวกนั้น ก็ไม่มีการวางแผนล่วงหน้า ทำให้นักการเมืองก็ไม่คิดไกล โกงง่ายๆ เพราะประชาชนเองก็ไม่คิดไกลเหมือนกัน เลือกพรรคนี้คนนี้เพราะเบื่อพรรคโน้นคนโน้น ถ้าคิดไกลจะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่สามัญชนจะแวะมาหวังดีกับประเทศ 4 ปี โดยที่ก่อนหน้านั้นก็ไม่เคยทำอะไรให้ประเทศมาก่อนเลย ฉะนั้นจงพร้อมใจกันกันกาโนโหวตให้สภาโล่งเถิด เพราะบ้านเมืองก็เดินได้ด้วยกระทรวงต่างๆอยู่แล้วนี่ มีสภาก็ไม่เคยเล่นงานข้าราชการเลวได้เลย เพราะมัวแต่เล่นงานกันเอง มีสภาก็คือมีรัฐมนตรีมาช่วยโกงอีก การกาไม่เลือกใครเป็นการรักษาศักดิ์ศรีของผู้กา ว่าไม่ได้ส่งโจรเข้าไปแย่งพระราชอำนาจครับ ถ้าคิดว่ากาโนโหวตแล้วเสียของจะทำให้พวกผู้แทนรากหญ้าชนะและเข้าสภา กาเลือกประชาธิปัตย์ให้ตายพรรคของรากหญ้าก็มาอยู่ดีทุกทีครับ มันวางแผนกันมาตั้งแต่ 14 ตุลาแล้วครับ ผู้ใช้แรงงานต้องเป็นใหญ่ในแผ่นดิน ผู้ใช้สมองต้องเจียมตัวอยู่เงียบๆ แต่พี่หมั่นไส้มัน เลยไม่อยากเงียบ แต่พี่ก็พูดอยู่คนเดียวนะเพราะคนอื่นขี้เกรงใจ ซึ่งพี่ก็เห็นใจเพราะเค้าไม่มีปืนกลเหมือนพี่ ของพี่เป็นปืนกลอาบยาพิษด้วย กำลังจะเอาไปให้น้องยะ สุริยใสที่พันธมิตรครับ แต่ต้องใช้แทง เพราะอาบยาพิษที่ปากกระบอก นักการเมืองเก่าหรือนักการเมืองใหม่ไม่มีประโยชน์ทั้งนั้นครับ ถ้าสภายังยกมือไว้วางใจคนโกงอยู่ ระบอบใหม่ต่างหากครับที่จำเป็น ระบอบที่เหมาะสมกับสันดานไทย ที่ขี้โกง พี่เรียกว่า พอเพียงธิปไตย ถวายแด่พ่อผู้ทรงทศพิศราชธรรม

2554-12-23

วิพากษ์ละครไทย


วินทร์ เลียววาริณ นักเขียนดับเบิลซีไรต์ ได้ตั้งคำถามไว้ในหมวดบันเทิงและดนตรีที่ว่า เราสมควรรื้อถอนโครงสร้างของละครไทยแบบเดิม ๆ นี้หรือไม่ และเพราะอะไร ? 

--------------------------------------------------------------------------------

หัวใจของการถกกันนี้มิใช่การหาคำตอบที่ถูกต้องที่สุด แต่อยู่ที่การแตกหน่อทางความคิดร่วมกันมากที่สุด เมื่อพิจารณาคำตอบของแต่ละท่าน ก็นับว่าเราบรรลุจุดหมายในระดับหนึ่ง นั่นคือมีความหลากหลายของความคิด มีหลายประโยคที่คมบาดสมองทีเดียว เช่น :
- ละครสร้างฝันเพื่อบำบัดทางจิตของคนในสังคม
-โครงสร้างไทยคือลิเก คือโขน คือความไม่สมจริง แต่สมฝัน
- สื่อสารมวลชนเป็นกระจกเงา บอกบุคลิกที่ดีที่สุดของแต่ละประเทศ
- ผู้ชมขัดขืน สื่อมวลชนขัดขืน ผู้สร้างขัดขืน 
เป็นต้น

คำตอบโดยรวมน่าสนใจครับ คุณ Gwiddy วิเคราะห์ที่มาของละครไทยได้ดี เช่นเดียวกับบทวิเคราะห์ของคุณน้ำที่อธิบายคุณลักษณ์ของคนไทย “เรายังไม่เชื่อมั่นว่าเรามีความสามารถจะเปลี่ยนแปลงหรือสรรค์สร้างอะไรได้ด้วยตัวเอง เรายังรอโชค รอฟ้าประทานพร หรือแม้แต่รอแย่งชิงประโยชน์ที่ไม่พึงมีพึงได้ ตามแบบความสำเร็จในชีวิตของตัวละครที่เราคุ้นเคย”

ประเด็นของคุณ Dictshir ก็น่าสนใจ นั่นคือ “เราชอบโทษแต่ผู้สร้าง ซึ่งจริงๆ แล้วปัญหาสำคัญอีกอย่างก็คือคนดูนั่นเอง ที่ยังอุตส่าห์ตามดูได้ทุกเรื่องทุกเวอร์ชั่น”

เช่นกัน คุณ Bright eye Tomato ก็มีมุมมองน่ารับฟัง “ท่านเขียนหนังสือเพื่ออะไร เขียนเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม หรือท่านเขียนเพื่อเยียวยาบาดแผลจากผู้คนที่อยู่อย่างไร้ความฝัน สิ้นหวัง นิยายน้ำเน่าแม้มันจะเป็นโครงสร้างเก่า มันเป็นเรื่องราวเดิมๆ เพียงเปลี่ยนฉากเปลี่ยนรูป ให้มันเหมาะสมัย แต่ความฝันและความหวังเหมือนเดิม เหมือนยาเสพย์ติดที่ทำให้ผู้คนลืมความโหดร้ายตัวจริงที่โบยตีอยู่ทุกวัน”
ในบรรดาคำตอบทั้งหมด ดูเหมือนคำตอบของคุณ Noi น่าจะครอบคลุมประเด็นได้กว้างกว่า เป็นการมองปัญหาแบบความเป็นจริง และเสนอการแก้ปัญหาที่เป็นไปได้ โดยเฉพาะประเด็นที่ป้องกันเด็กๆ จากการรับสารความคิดที่ผิดๆ และการรับผิดชอบของทั้งคนสร้างและคนเสพ

สิ่งที่ผมอยากเสริมก็คือ คำว่า ‘รื้อถอน’ ในคำถามนี้ มิได้มีนัยของการทำลายโดยสิ้นซาก แต่เป็นการพัฒนาต่อไปไม่ให้ซ้ำรอยเดิมมากกว่า พูดง่ายๆ คือ เราจะเต้นฟุตเวิร์กอยู่กับที่ หรือว่าจะวิ่งออกไปจากจุดเดิม

หากเราเลือกที่จะวิ่งออกไปจากจุดเดิม ก็นำไปสู่อีกสองคำถามคือ

1) ทำไมต้องเปลี่ยนแปลง? มันสำคัญนักหรือ? ในเมื่อละครโทรทัศน์ก็เป็นเพียงความบันเทิงราคาถูกสำหรับคนทั่วไป จะเอาสาระอะไรกันนักหนา? และ 

2) เรามีความสามารถเปลี่ยนแปลงได้จริงหรือ ทั้งในแง่นายทุนและผู้สร้างสรรค์งาน?
สำหรับข้อแรก : เราต้องเข้าใจตรงกันก่อนว่า สังคมคือการอยู่ร่วมกันของคนกลุ่มใหญ่ คุณค่าของสังคมก็คือความผาสุกของคนส่วนใหญ่, คุณภาพชีวิต และคุณภาพของมนุษย์ (ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้จะมาอยู่รวมกันทำไม) และสิ่งหนึ่งที่มีส่วนพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีก็คือศิลปะที่ดี

เมื่อมองอย่างนี้ จะเห็นว่าเราสามารถใช้คุณภาพชีวิตและคุณภาพของมนุษย์เป็นมาตรวัดคุณค่าของศิลปะ ศิลปะที่ดีน่าจะมีส่วนช่วยทำให้มนุษย์มีคุณค่าขึ้น ไม่ทางจิตใจก็ทางความคิด และอะไรก็ตามที่ทำให้มนุษย์ลดค่าลงหรือโง่ลง ไม่ว่ามันจะดำรงอยู่ในสังคมมานานเท่าไร นอกจากจะไม่น่าจัดว่ามีคุณค่าแล้ว อาจจะไม่นับว่าเป็นศิลปะด้วยซ้ำ

ภาพยนตร์เป็นสายหนึ่งของศิลปะ หากเราดูสายธารของศิลปะทุกสายในประวัติศาสตร์โลก ศิลปะเป็นสิ่งที่ไม่อยู่นิ่ง ไม่มีกรอบตายตัว ไม่มีกฎกติกาใดๆ และเนื่องจากมันไม่อยู่นิ่งนี่เอง จึงก่อเกิดสายธารศิลปะมากมายหลายแขนง ยกตัวอย่างเช่นในงานจิตรกรรม หากถือว่าการวาดภาพแบบเรียลิสติกเป็นแนวทางมาตรฐานหรือเอกลักษณ์ที่ต้องอนุรักษ์ดำรงไว้ โลกนี้ก็คงไม่มีทางกำเนิดศิลปะสายอื่นๆ เช่น แนวแอ็บสแตร็คท์ แนวเซอร์เรียลิสม์ แนวป๊อปอาร์ต ฯลฯ และศิลปินอย่าง แวนโก๊ะห์ ปิกัสโซ่ เซอราต์ ฯลฯ ก็ไม่มีทางได้เกิด เช่นกันด้วยความเชื่อที่ไม่ยอมถูกจำกัดด้วยกรอบใดๆ โลกเราตอนนี้จึงมีตระกูลนิยายมากมายกว่าสมัยเชกสเปียรส์หลายร้อยเท่า และนี่เป็นสิ่งที่ดีมิใช่หรือ?

ผมเชื่ออย่างโง่ๆ (และอาจจะไร้เดียงสา) ว่าเราสามารถนำพาสังคมของเราไปสู่ความสวยงามและมีคุณค่ากว่าเดิมได้ ผมมองไม่เห็นว่าทำไมเราต้องจำนนทนอยู่กับสิ่งเดิมๆ เพียงเพราะมันอยู่มานาน เราเลือกได้ และเมื่อเราถูกต้อนไปสู่มุมอับที่ดูเหมือนไม่มีทางเลือก เราก็สามารถปฏิเสธ ‘ทางเลือก’ ที่คนอื่นยื่นให้เราได้ เช่นเดียวกับที่เราปฏิเสธผงชูรส สารกันบูด สีฟอก ฯลฯ เพราะเรารู้ว่าในระยะยาวมันอาจทำให้เราเป็นมะเร็งได้

ปัญญาของคนเราเกิดมาจากการรับสารความคิดแบบหลากหลาย มีใครบ้างที่ร่างกายแข็งแรงจากการเสพข้าวขาหมูอย่างเดียวทุกมื้อทุกวัน? สมองของคนเราก็ต้องการสารอาหารทางปัญญาครบห้าหมู่ ไม่ว่าเราจะรับสารความคิดมาจากการศึกษา ประสบการณ์ หรือผ่านศิลปะ ยิ่งมีทางเลือกมาก ก็ยิ่งทำให้เรารู้จักคิดมากขึ้น และท้ายที่สุดแล้วสังคมก็จะได้คนที่มีคุณภาพมากขึ้น และสังคมยิ่งมีคนมีคุณภาพมากขึ้นเท่าไร คุณภาพชีวิตของเราก็ยิ่งดีขึ้นเท่านั้น ไม่เพียงแต่เราจะเป็นคนฉลาดขึ้น เราจะมีความสุขขึ้น

สำหรับข้อที่สอง : เรามีความสามารถเปลี่ยนแปลงได้จริงหรือ ทั้งในแง่นายทุนและผู้สร้างสรรค์งาน? นี่เป็นคำถามที่ท้าทายความคิด โดยเฉพาะคนที่เชื่อว่า สภาพทางการตลาดทำให้เราเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ แต่จริงหรือ?

มีส่วนจริงอยู่บ้างเช่นที่คุณ Manhaswi ว่าคือ “และหากเราให้ในสิ่งที่เป็นจริงซึ่งเขาเผชิญหน้าอยู่แล้วทุกวัน คุณคิดว่าเขาจะรู้สึกอินกับเรื่องไหมครับ หรือจะเบื่อว่าไม่อยากรับรู้มากกว่ากัน เพราะตัวฉันก็เหนื่อยกับชีวิตจริงอยู่แล้ว ทำไมต้องมารับรู้มาดูความจริง… ” แต่ข้อแย้งคือการเบื่อชีวิตจริงและความอยากหนีความจริงเข้าไปในโลกแห่งจินตนาการเป็นคนละเรื่องกับการเดินย้อนรอยศิลปะแบบเดิม และความเห็นของบางท่านที่ว่า “อย่าลืมว่าชีวิตจริงของคนบางคนเน่าซะยิ่งกว่าละครอีก” ก็เป็นคนละเรื่องกับความจำเจของเนื้อหา เพราะในมุมมองของศิลปะ แก่นเรื่องเดิมๆ ก็สามารถนำเสนอได้ใหม่อย่างสร้างสรรค์ ตัวอย่างความบันเทิงมากมายในโลกที่สามารถสอดสาระเข้ากับความบันเทิงและยกระดับผู้เสพ ทำให้เราต้องถามตัวเองว่า ถ้าเรารู้ว่าเราสามารถส่งเสียลูกให้เรียนจบปริญญาได้ เราจะยอมให้เขาจบแค่ชั้นอนุบาลหรือ?

ผมทำงานในวงการสร้างสรรค์มานานพอที่กล้ายืนยันได้ว่า ศิลปะไม่มีข้อจำกัดอย่างที่คนไม่น้อยชอบใช้เป็นข้ออ้าง ผมไม่เห็นด้วยว่าคนสร้างไม่มีปัญญาคิดเรื่องใหม่ๆ

สำหรับประเด็นที่ว่า แนวทางละครเปลี่ยนไม่ได้เพราะการตลาดหรือเรตติ้งบังคับนั้น เราอาจดูตัวอย่างจากที่ในสมัยหนึ่งทุกคนในประเทศไทยมีความพอใจอย่างยิ่งกับการดูหนังวิดีโอคาสเส็ตต์ จนเมื่อเทคโนโลยีวีซีดีเข้ามา วิดีโอคาสเส็ตต์ก็หายไปอย่างรวดเร็ว และเมื่อดีวีดีเข้ามา วีซีดีก็ค่อยๆ หายไป ลองคิดดูเล่นๆ หากตีสามคืนนี้ผู้ผลิตละครโทรทัศน์ทุกรายถูกมนุษย์ต่างดาวจับไปล้างสมอง และวันพรุ่งนี้หันมาผลิตแต่หนังคุณภาพระดับสารอาหารครบห้าหมู่ ประชาชนก็ย่อมไม่มีทางเลือกนอกจากจะรับ และบางทีเมื่อพวกเขารู้รสของ ‘ดีวีดี’ ก็อาจไม่มีวันหวนกลับไปหา ‘วิดีโอคาสเส็ตต์’ อีก!

ทว่าเนื่องจากเราไม่มีมนุษย์ต่างดาวมาช่วยตัดสินใจแทนให้ เราก็ต้องเลือกเอาเอง จะเลือกที่จะเปลี่ยนมาก เปลี่ยนน้อย หรือไม่เปลี่ยนเลยก็อยู่ที่เราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นทางใด อย่างน้อยที่สุดในด้านคนสร้างสรรค์งาน ก็ควรมีความรับผิดชอบส่วนหนึ่งในการไม่ใส่สารเมลามีนทางความคิดแก่คนดู ในด้านคนเสพ ก็มีความรับผิดชอบในการกลั่นกรอง รู้จักปฏิเสธสารเมลามีนทางความคิดให้ลูกหลาน ไม่ว่าจะด้วยวิธีของคุณชราภาพทราบแล้วเปลี่ยนที่ว่า “รีโมตอยู่ในมืออยู่แล้วค่ะ” หรือวิธีของคุณ Kongkong Taitai Manla ที่ว่า “ผู้ชมขัดขืน”

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกอย่างทุกจุดของสิ่งเดิมจะเป็นเรื่องแย่ที่ต้องรื้อถอน หากรู้จักเลือกองค์ประกอบเดิมที่ดีมาใช้ เราก็อาจนำพาละครไทยไปสู่ความบันเทิงแบบไทยๆ ที่มีคุณค่าได้เช่นกัน อย่างที่คุณ Bright eye Tomato เสนอว่า “เราควรจะมองจุดดีของความยืนยงของละครไทย แล้วดัดแปลงให้เหมาะกับยุคสมัย”

เราอาจเดินไปไม่ถึงโลกแห่งความสมบูรณ์แบบ แต่หากเราลองเดิน อย่างน้อยที่สุดเราก็น่าจะได้โลกที่ดีขึ้นกว่าเมื่อวานนี้

และนี่มิใช่เรื่อง ‘เหนือจริง’ แต่อย่างไร



วินทร์ เลียววาริณ
ราตรีพระจันทร์ยิ้ม 2551

--------------------------------------------------------------------------------

ส่วนตัวเจ้าของบล็อก : มองว่าละครหลังข่าว บทภาพยนตร์ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์หรือแม้กระทั่งสื่อสิ่งพิมพ์ข้อมูลข่าวสารใด ๆ ก็ตามล้วนแต่มีอิทธิพลอย่างยิ่งกับผู้รับสาร หรือผู้ชมโดยตรง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และเคยตั้งข้อสังเกตว่า"หากอยากทราบว่าประเทศไหน มีศักยภาพเพียงใด หรือแม้แต่อุปนิสัยและวิถีชีวิตแห่งชาตินั้น ๆ เป็นอย่างไร ? สามารถดูได้จากบทละคร ภาพยนตร์ไปจนถึงสื่อสารมวลชนทุกชนิดที่สามารถสะท้อนภาพของประชากรในประเทศไม่มากก็น้อย จริงหรือ!" ซึ่งก็น่าจะมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันอยู่บ้าง ปัจจุบันผู้เขียนเลิกเสพย์ความบันเทิงเริงรมย์ในรูปละครหลังข่าวโดยสิ้นเชิง แต่ก็มีบ้างเป็นครั้งคราวที่มักถามคนใกล้ชิดว่าละครคืนนี้เรื่องอะไรนะ(ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเปิดดู)และบ่อยครั้งที่พูดคุยกับคนอื่น ๆ ไม่รู้เรื่อง เมื่อเขาเหล่านั้นกล่าวถึงเรื่องราวที่เิกิดขึ้น(ในละคร)ต่อจากเมื่อวานนี้...

เหตุใดชีวิตจึงไม่เหมือนดังในละครหลังข่าว : http://journals-marcus.blogspot.com/2011/12/blog-post_14.html


2leep.com