หากยังจำเหตุการณ์เมื่อปลายเดือนธันวาคมปี 2553 ที่ผ่านมาได้ ห้วงเวลาก็ล่วงเลยมาเป็นเวลา 2 ปี มือปืนที่สาดกระสุนกว่า 10 นัดใส่รถน้องโตมี่ หรือ ด.ช.โภคิน ดีผิว อายุ 12 ปี จนบาดเจ็บและเสียชีวิตในเวลาต่อมาพร้อมกับคำถามว่าเหตุใดมือปืนถึงลงมือได้โหดเหี้ยมบ้าคลั่ง รวมถึงเส้นทางของพี่น้องคู่นี้ หลังจากเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นห้องพบยาเสพติดและเงินสดจำนวนมหาศาลด้วยวัยเพียง 20 ปีเศษเท่านั้น ซึ่งเหตุการณ์นั้นนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนได้ออกแถลงการณ์อัดตำรวจที่วิสามัญว่ากระทำเกินกว่าเหตุจากเหตุคลิปวิสามัญในยูทูป
แน่นอน สิ่งที่ตามมา..คงเป็นเสียงด่าทอและสนับสนุนจากผู้เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยในแง่มุมต่างๆ เช่น "เป็นญาติโจร" "รอให้มันไปยิงลูกมึง..ก่อนหรือไง" คุณไม่เข้าใจอาชีพตำรวจ อยากลองให้คุณไปอยู่ตรง ณ เหตุการณ์นั้นบ้าง ฯลฯ สารพัดคำ ตามแต่ระดับอารมณ์ ยอมรับว่าผมเป็นคนหนึ่ง..ที่เฝ้ามองการเคลื่อนไหวของประเด็นนี้อย่างอย่างสงบนิ่งพอสมควร พยายามจับอารมณ์สังคม..และเก็บประเด็นที่วิวาทะ..หรือบางสถานที่ ก็ด่าใส่กัน ผ่านทางหน้าสังสือพิมพ์ สกู้ปพิเศษ และรายการเล่าข่าว และที่ขาดไม่ได้คอสื่อออนไลน์ ต่างๆเพื่อที่จะตรวจวัดอะไรบางอย่าง..ของสังคม
เกือบทั้งหมด..ของการวิวาทะหรือขนาดด่าทอกันก็คือ โจ๊ก ไผ่เขียว "สมควรตาย" หรือไม่ ตำรวจวิสามัญ "เกินกว่าเหตุ" หรือไม่ ...
ใครที่ออกมานำเสนอให้พิจารณา เรื่อง"ผิด-ถูกกฎหมาย" หรือไม่ ก็จะโดนอัดกลับด้วย ข้อหา "เข้าข้างโจร".."เป็นญาติกะโจรเหรอ"
หลังจากเฝ้ามองเหตุการณ์ระหว่างนั้น..บอกตรงๆ ว่ารู้สึกหนักใจกับสิ่งรวมๆ ที่เรียกว่า "สังคมไทย" หรือแม้แต่ผู้อ่านเองก็เถอะ..หากนั่งใตร่ตรองดีๆ ก็จะเห็นว่า ทำไม ต้องหนักใจ..
สังเกตุดูจริต ของสังคมดูเถอะ ไม่ว่าเกิดปรากฏการณ์อะไรขึ้นในสังคม เราก็จะพากันถกเถียงกันกับภาพที่ปรากฎตรงหน้า โดยไม่ใส่ใจคิดวิเคราะห์ ถึงสาเหตุ ปัจจัย ที่นำมาสู่ปรากฎการณ์นั้น...และพอเกิดเรื่องใหม่ ก็ถกเถียงกันใหม่และ สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ การชี้มือไปที่ "คนอื่น" ให้เป็นผู้รับผิดชอบ..
น่าเสียดาย ที่สังคมไทยมีศาสนาพุทธ อยู่คู่มาช้านาน...แต่วิธีคิดแบบ พุทธศาสนา.. "โยนิโสมนสิการ" ..กลับไม่เคยได้หยั่งรากลงในสังคม..
คำถามที่ผมไม่ได้ยิน..เลยในวงวิวาทะ ทั้งที่ มันเป็นประเด็นสำคัญคือ
เด็กชายแห่งชุมชน ไผ่เขียว 2 คน เกิดมาเป็น "นักค้ายา" และ "คนสมควรตาย" เลยหรือไม่? ที่ผมรู้ ไม่ใช่เลย
...เด็กทั้งสองคนนั้นมีชีวิตที่หากเปรียบได้คงคล้ายกับละครหลังข่าวก็ไม่ปาน นั่นคือมีชีวิตที่ไม่พึงประสงค์นัก ครอบครัวไม่สมบูรณ์ อาศัยอยู่ในสังคมหรือสิ่งแวดล้อมที่บังคับแกมกดดันให้เขาต้องเลือกเดินเส้นทางนี้ เพื่อหลบลี้หนีจากความยากจนและเพื่อชีวิตที่ดีกว่า.. เด็กทั้งสองจึงเริ่มต้นเข้าสู่วงการยาเสพติด ตั้งแต่เป็นเด็กตระเวนส่งของ ขายยาเสพติดจนผันตัวเองมาเป็นเอเย่นต์ค้ายารายใหญ่ของภาคกลางในที่สุด
ใช่หรือไม่ว่า? สมัยตอนเรียนมัธยมต้นเขายังเป็นเด็กธรรมดาๆ คนหนึ่ง..ถ้ากลับไปถามครูประถมของเขาว่าได้เคยถามเด็กสองคนนั้นหรือเปล่า..ว่า โตขึ้น จะเป็นอะไร..?ในบรรดาเด็กผู้ชายต่างจังหวัด เกือบทั้งหมด จะตอบว่า ...อยากเป็น "ตำรวจ" "ทหาร" และ มีอยากเป็น "ครู" บ้าง..และเขาจะบอกเหตุผลตามมา ส่วนมากก็เพราะ อยากไปปราบโจรผู้ร้าย และได้ทำความดี..และไม่มีเด็กคนไหนบอกว่า อยากเป็นตำรวจ เพื่อจะได้ "เก็บส่วย"..เด็กทุกคนบริสุทธิ์ครับ เกิดมาเป็นผ้าขาว..
คำถามต่อมาคือ งั้นและใคร หรืออะไร เป็นเหตุให้เด็กบริสุทธิ์ กลายเป็น "คนสมควรตาย" ขึ้นมาในวันนี้ ใคร อะไร "ผลิต" คน "สมควรตาย" ขึ้นมามากมายในสังคม...?
คำตอบ..ที่ไม่ต้องคิดมากมายคือ เหตุและปัจจัยดังกล่าวก็คือสิ่งที่เราเรียกรวมๆ กันว่า "สิ่งแวดล้อมทางสังคม" รอบๆ นั้นเอง ถ้าจะแยกแยะ เราก็จะเห็น ค่านิยมวัถุนิยมที่ใช้เงินเป็นใหญ่ โดยไม่คำนึงถึงวิธีการที่จะให้ได้มา คนธรรมดาๆ ก็ทำผิดกฎหมาย ค้ายา ฯลฯ ตำรวจเก็บส่วย รีด ไถ ข้าราชการก็คอรัปชั่น นักการเมืองก็เช่นกัน ตัวพ่อ..โดยสิ่งที่เรียกว่า "ความเห็นแก่ตัว" คือรากเง่า..
จากเด็กธรรมดา เป็นเด็กเกเร เป็นเด็กส่งยา เป็นนักค้ารายย่อย นักค้ารายใหญ่ จนถึงฆาตกรผู้ "สมควรตาย" ระหว่างพัฒนาการ ใครเข้าไปค้ำจุน เกี่ยวข้อง เกื้อหนุน เป็นเหตุปัจจัยให้เขาพัฒนาการ.. คำถามนี้คนที่รับประโยชน์จากเขาไม่อยากตอบคำถามหรอก..
ถึงตอนนี้ คำตอบที่เราได้ว่า สังคมแบบนี้ ใคร คนใดคนหนึ่งสร้างขึ้นมาหรือไม่...ไม่เลยครับ
ไม่มีใคร ให้เราสามารถ "ชี้นิ้ว"..ให้รับผิดชอบได้ ..หรือว่าเราทุกคน..มีหุ้นส่วนในโรงงาน นี้...
ถ้าเรา ไม่ช่วยกันปิดโรงงาน..โจ๊ก ไผ่เขียว ก็จะถูกผลิดขึ้นเรื่อยๆ จนเต็มสังคม..และ น้องโตมี่คนต่อๆไป ก็จะเกิดขึ้นให้เรา สงสารเห็นอกเห็นใจกันอีก..เพราะเราอยู่สังคมเดียวกัน ยังไง โจ๊กไผ่เขียว ก็ต้อง เจอกับ น้องโตมี่ วันยังค่ำไม่มีทางหนีพ้น...
ถึงตอนนี้ เราพอจะได้คำตอบหรือยังครับว่า "อะไร" ที่ "สมควรตาย" และ "อะไร" ที่สังคมของเราต้องช่วยกัน "วิสามัญ"..
ซึ่งในเวลาต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจวิสามัญฆาตกรรมนายชาญชัย ประสงค์ศิล หรือ โจ๊ก ไผ่เขียว(รูปซ้ายมือ) อายุ 29 ปี มือ ยิงรถครอบครัวของ ด.ช.โภคิน ดีผิว หรือ น้องโตมี่ จนเสียชีวิต โดย โจ๊ก ไผ่เขียว ได้ถูกตำรวจวิสามัญฆาตกรรม เมื่อเวลา 02.30 น. วันที่ 14 ธ.ค.2553 ที่สมายแมนชั่น ส่วนนายนพพล หรือ จิ๊บ ไผ่เขียว(รูปขวามือ) ถูกจับกุมตัวก่อนจะถูกคุมตัวไปคุมขังที่เรือนจำจ.พระนครศรีอยุธยาต่อไป..
ที่มา : เปิดปม : โจ๊ก จิ๊บ ไผ่เขียว (27 ธ.ค. 53)(1)
เปิดปม : โจ๊ก จิ๊บ ไผ่เขียว (27 ธ.ค. 53)(2)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น