2554-12-07

มหัศจรรย์ของชีวิตขาลง‏

road

หลังจากเกษียณจากราชการก่อนกำหนด ประมวล เพ็งจันทร์ ได้ทำสิ่งที่ไม่มีใครเคยทำมาก่อน
นั่นคือ เดินเท้าจากเชียงใหม่กลับไปยังบ้านเกิดที่เกาะสมุย เป็นการจาริกที่ไม่มีเงินติดตัวเลยสักสลึงเดียว
หากฝากชีวิตไว้กับน้ำใจของเพื่อนมนุษย์ตามเส้นทางที่ยาวเหยียดร่วม 1,500 กิโลเมตร

ตลอด 66 วัน ของการเดินทาง เขาได้พานพบประสบการณ์มากมายที่ตราตรึงใจ และให้บทเรียนล้ำค่าแก่ชีวิต
หนึ่งในนั้นได้แก่ ตอนที่เดินขึ้นและลงจากดอยอินทนนท์
เขาเล่าว่า ขณะที่เดินขึ้นดอยอินทนนท์นั้น รู้สึกเหนื่อยมาก ความย่ำแย่ของสภาพร่างกายที่สะสมมาหลายวัน
ทำให้เกือบจะถอดใจเพราะหายใจแทบไม่ออก รู้สึกเหมือนจะขาดใจตาย จนต้องนอนแผ่แน่นิ่ง ทั้งๆ ที่เหลือเพียง
กิโลเมตรกว่าๆ เขาคงจะอยู่ตรงนั้นอีกนาน หากไม่มีรถคันหนึ่งจอดรับเขาขึ้นไปถึงยอด
ขากลับเขาเดินลงมาช้าๆ แล้วเขาก็เพิ่งสังเกตว่า สองข้างทางนั้นมีสิ่งสวยงามอยู่มากมาย ไกลออกไปก็เป็น
ทิวทัศน์ที่ชวนพินิจ แต่ทั้งหมดนั้นเขาไม่ทันได้มองเลยขณะที่เดินขึ้นเขา เพราะใจนึกถึงแต่ยอดดอย
อยากจะไปให้ถึงจุดหมายอย่างเดียว
ระหว่างเดินลง เขาได้หยุดดูทิวทัศน์อันกว้างไกล และชื่นชมกับธรรมชาติอันงดงามสองข้างทาง จิตใจเบิกบาน
และเป็นสุขอย่างยิ่ง แม้ตอนนั้นร่างกายจะเจ็บปวดก็ตาม
“มหัศจรรย์” คือความรู้สึกของเขาเมื่อย้อนระลึกนึกถึงประสบการณ์ยามลงเขา “ขาลง” นั้นมีเสน่ห์แต่มักถูกมองข้าม
คนส่วนใหญ่มักให้ความสำคัญกับ “ขาขึ้น” มากกว่า เพราะมั่นใจว่ามีสิ่งใหม่ๆ ที่ดึงดูดใจคอยอยู่ข้างบน
ไม่ใช่แค่ทะเลหมอกหรือทิวทัศน์อันงดงาม ที่เห็นชัดเจนจากยอดดอยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสำเร็จ ชื่อเสียง
เกียรติยศ เงินทอง
ยามขึ้นถึงจุดสูงสุดของชีวิต ใครๆ ก็อยากให้ชีวิตของตนอยู่ในช่วงขาขึ้น เพราะหวังจะได้เสพ ได้ครอบครอง
อะไรอีกมากมาย ที่ยังไม่เคยประสบสัมผัส แต่น่าคิดว่ามีสักกี่คนที่เป็นสุขอย่างแท้จริงในช่วงขาขึ้น
ใช่หรือไม่ว่า ส่วนใหญ่เต็มไปด้วยความเครียด เพราะใจนั้นกังวลแต่จุดหมายปลายทาง และกลัวว่าจะไปไม่ถึง
แถมยังหงุดหงิดหากเห็นใครแซงไปต่อหน้าต่อตา และเป็นทุกข์มากขึ้น เมื่อมีคนถึงจุดหมายปลายทางก่อน
โดยเฉพาะคนที่ออกเดินพร้อมกับตัวเอง
ความเหนื่อยอ่อนบอบช้ำของ ประมวล ยามเดินขึ้นเขา คงไม่ต่างจากหลายคนที่กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น
ยิ่งเร่งจะให้ถึงจุดหมายปลายทางมากเท่าไร ก็ยิ่งเหนื่อยมากเท่านั้น บางคนไปไม่ถึงเพราะหมดแรงเสียก่อน
ต้องพักรักษาตัวกว่าสังขารจะอำนวย แต่บางคนก็ต้องยุติการเดินทางแต่เพียงเท่านี้
อันที่จริงประสบการณ์ยามขาขึ้น ไม่จำเป็นต้องเต็มไปด้วยความทุกข์ แม้จะยังไม่ถึงเป้าหมาย แต่อย่าลืมว่า
สองข้างทางนั้น ก็อุดมไปด้วยสิ่งต่างๆ มากมายที่ให้ความสุขแก่เราได้ตลอดเวลา
ประมวล มาค้นพบความจริงข้อนี้ยามเดินลงเขา ถ้าใจเราไม่จดจ่อกับเป้าหมายข้างหน้ามากเกินไป ในช่วงขา
ขึ้นเราก็สามารถเป็นสุขได้ หากรู้จักชื่นชมสิ่งดีๆ ตามรายทางบ้าง

ความสุขนั้นมีอยู่รอบตัว แต่คนส่วนใหญ่มองไม่เห็น เพราะใจจดจ่อแต่ความสำเร็จที่รออยู่ข้างหน้า
ผลก็คือขณะที่ความสุขข้างหน้ายังมาไม่ถึง เรากลับละทิ้งความสุขที่มีอยู่รอบตัว
ทั้งๆ ที่เป็นสิทธิของเราโดยชอบธรรม กลายเป็นว่าเสียสองต่อ

จะไม่ดีกว่าหรือ ขณะที่ยังไปไม่ถึงจุดหมายปลายทาง เราก็เปิดใจชื่นชมสิ่งดี ๆ ที่มีอยู่รอบตัวหรือตามรายทาง
แม้ความสุขข้างหน้ายังมาไม่ถึง แต่เราก็ได้สัมผัสกับความสุขที่มีอยู่แล้วทุกขณะ
ถึงจะพลาดโอกาสนั้นไป ก็ยังไม่สาย เพราะขาลง เราก็ยังสามารถชื่นชมสิ่งดีๆ ที่ให้ความสุขและความเบิกบานใจ
แก่เราได้ แต่นั่นหมายความว่าเราต้องไม่ห่วงหาอาลัยความสำเร็จที่กลายเป็นอดีตไปแล้ว หากยังมัวนึกถึง
ประสบการณ์อันตราตรึงใจบนยอดเขาที่ผ่านพ้นไปแล้ว ใจเราจะเปิดรับความสุขตามรายทางในยามขาลงได้อย่างไร
ขาลงไม่ใช่ประสบการณ์อันน่าเศร้า หากเราเดินลงอย่างช้าๆ และหัดพินิจพิจารณา เราจะมีความสุข เป็นสุขที่อาจ
จะยิ่งกว่าช่วงขาขึ้น หรือเมื่อถึงจุดสูงสุดของการเดินทางเสียอีก เพราะใจเป็นอิสระจากความคาดหวังทั้งปวง
ในยามนี้แหละที่เราอาจพบกับ “มหัศจรรย์” ของชีวิต ที่ไม่เคยนึกฝันมาก่อน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

2leep.com