เมื่อก้อนหินหล่นลงน้ำ
ฉันมองเห็นอะไร?
ระพี สาคริก
๑ ตุลาคม ๒๕๕๐
บทความเรื่องนี้ ฉันตื่นขึ้นมานั่งเขียนแก้ไขปรับปรุงใหม่ตั้งแต่ตีสี่กว่า ๆ ของวันที่ ๕ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๐ เนื่องจากเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน และมีความลึกซึ้งเป็นอย่างมาก สำหรับหลายๆคน แต่มันก็เป็นธรรมชาติและเป็นธรรมดาของคนส่วนใหญ่ในสังคมยุคนี้ที่คิดได้แค่นั้น
หากมีก้อนหินก้อนหนึ่งหล่นลงไปในน้ำ หรือไม่ก็อาจมีใครสักคนโยนก้อนหินลงน้ำ ถ้าจะถามว่าภาพรวมที่พบได้จากสิ่งดังกล่าวนั้นคืออะไร คำตอบก็คือ ทันทีที่หินก้อนนั้นกระทบกับผิวน้ำ ย่อมมีเสียงและมีคลื่นที่เกิดขึ้นบนพื้นผิวน้ำเป็นวงรอบตัวเอง คงต้องตั้งคำถามขึ้นมาถามว่า เราได้อะไรจากภาพที่แลเห็นอยู่ในขณะนั้น?
คำตอบก็คือ บริเวณผิวน้ำซึ่งอยู่ใกล้หินที่สุด ย่อมมีคลื่นขนาดใหญ่ที่สุดเกิดขึ้น หลังจากนั้นวงของคลื่นที่เกิดก็จะขยายขอบข่ายออกไป อีกทั้ง มีขนาดคลื่นเล็กลงและขยายตัวตามกันออกไปอย่างเป็นระลอก จนในที่สุดก็ค่อยๆกลืนหายไปกับผิวน้ำอย่างเป็นธรรมชาติ
ถ้าจะถามต่อไปอีกว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าวเป็นธรรมชาติของอะไร หากพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นธรรมชาติระหว่างหินซึ่งเป็นของแข็งกับน้ำที่มีสภาพเป็นของเหลว จนกระทั่งทำให้ไวต่อการถูกกระทบโดยของแข็ง จึงกลายเป็นระลอกคลื่นรอบตัวเอง
หากแต่ละคนเกิดความเคยชิน จนกระทั่งทำให้รู้สึกว่าเป็นเรื่องธรรมดาแล้ว ย่อมไม่นำมาคิด ถ้าใครนำมาคิดมักถูกบุคคลลักษณะดังกล่าว กล่าวหาว่า คิดอะไรไม่เข้าเรื่อง ทั้งๆที่ธรรมชาติได้มอบจิตวิญญาณและสมองมาให้แต่ละคนใช้คิด จึงควรนำสนใจทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในวิถีชีวิตประจำวันของแต่ละคนมาคิด เพื่อค้นหาความจริงให้ถึงที่สุด โดยหวังรักษาภูมิปัญญาภายในรากฐานจิตใจตนเองเอาไว้ให้มั่นคงแน่หนายิ่งขึ้น
อนึ่ง เมื่อกล่าวถึงปรากฏการณ์ธรรมชาติ ย่อมไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวแล้วก็จบไปเลยเท่านั้น ดังนั้น จึงควรจะเข้าใจว่า สิ่งที่ปรากฏภายในจิตวิญญาณตนเองเป็นเรื่องธรรมชาติของสรรพสิ่งต่างๆ ซึ่งมีทั้งการเกิดใหม่และการเปลี่ยนแปลงไปสู่สภาวะดับสูญเป็นธรรมดา โดยไม่มีการละเว้นว่าจะเป็นเรื่องอะไร สุดแล้วแต่ความปรารถนาของแต่ละคน
แม้กระทั่ง น้ำที่ไหลผ่านอากาศลงมาสู่พื้นดิน หากน้ำมีมวลแน่หนามากกว่าอากาศ ดังนั้น ขณะที่น้ำผ่านอากาศลงมา ย่อมมีทั้งคลื่นเสียงและผลกระทบกับอากาศ แต่เสียงอาจมีความถี่เกินกว่าที่หูเราจะรู้สึกได้ และคลื่นที่อากาศกระทบกับน้ำก็ค่อยๆจางหายไปในที่สุด
ดังนั้น ถ้าหวนกลับมาพิจารณาพฤติกรรมของมนุษย์ในโลก ซึ่งมีความแตกต่างอย่างหลากหลาย อีกทั้งสิ่งที่เกิดขึ้นจากการกระทำของมนุษย์บุคคลใดบุคคลหนึ่ง หากได้รับความสนใจจากคนทั่วไป เริ่มต้นจากผู้ที่อยู่ใกล้ตัวมากที่สุด ย่อมขยายขอบข่ายกว้างขวางออกไปได้เองตามกาลเวลาอย่างเป็นธรรมชาติ จนกระทั่งในที่สุด ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะค่อยๆกลายไปอยู่ในสภาพที่เป็นปกติ
ในด้านกาลเวลาก็เช่นกัน หากมีบุคคลใดบุคคลหนึ่งสร้างผลงานที่ชูเด่นขึ้นมา ทำให้คนรอบข้างรู้สึกศรัทธาเชื่อถืออย่างสูง แต่สภาวะสูงสุดก็คงจะอยู่ภายในรากฐานจิตใจบุคคลผู้นั้น ถัดจากนั้นมาสิ่งที่ได้รับการพัฒนาก็จะถูกกระทบทำให้ถ่ายทอดออกมาสู่วงกว้างแต่ก็ใช่ว่าจะมีสภาพเป็นปกติเหมือนเดิมไม่
หลังกาลเวลาผ่านพ้นมาแล้ว สภาพความรู้สึกดังกล่าว ย่อมผ่านกลุ่มบุคคลรอบข้าง แล้วจึงขยายวงกว้างออกไป จนกระทั่งค่อยๆจางหายไปจากความทรงจำในที่สุด แม้แต่การถ่ายทอดแนวคิดความเชื่อในกระบวนการเรียนรู้ของแต่ละคนที่นับถือศาสนาก็เช่นกัน อันถือเป็นธรรมชาติของปรากฏการณ์จากชีวิตของมวลมนุษย์ในโลก ซึ่งมีเหตุผลสานถึงซึ่งกันและกันทั้งหมด
ฉันมีตัวอย่างที่ตนพบกับความจริงด้วยตนเองมาแล้วกล่าวคือ ครั้งหนึ่งเมื่อประมาณสี่-ห้าปีที่ผ่านมา มีทีมงานทำสารคดีจากสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งขออนุญาตเข้ามาพบเพื่อสัมภาษณ์เรื่องราวต่างๆที่เกี่ยวกับประวัติชีวิต
หลังจากตกลงนัดหมายกันเรียบร้อยแล้ว เมื่อถึงวันนัดคณะทำงานจากสถานีโทรทัศน์แห่งนั้นได้มายืนอยู่หน้าบ้าน โดยที่ฉันไม่ทราบและเปิดรายการก่อนจะเข้ามาสัมภาษณ์ฉันในบ้านโดยขึ้นต้นกล่าวว่า
ที่นี่หน้าบ้าน ศาสตราจารย์ระพี สาคริก ซึ่งเป็นอดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และเป็นอดีตรัฐมนตรีด้วย
หลังเปิดรายการแล้ว จึงเข้ามาในบ้านและเริ่มต้นถามฉันว่า ขณะนี้อาจารย์เป็นอะไร และทำอะไรอยู่?
ฉันตอบจากใจจริงว่า ....ฉันเป็นคน และทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเรียนรู้ความจริงจากคนทุกรูปลักษณะ
ณ จุดนี้เองอาจทำให้หลายคนสงสัย บางคนก็คิดว่าฉันพูดเล่น บางคนก็คิดว่าฉันพูดยวน แต่ตนคิดว่าพูดจากความจริงที่อยู่ในใจ แม้ใครจะรู้ได้ถึงหรือไม่ ย่อมเป็นเรื่องของบุคคลผู้นั้น
มีความตอนหนึ่งซึ่งผู้ขอสัมภาษณ์กล่าวว่า อยากให้ผู้ใหญ่หลายๆคนคิดอย่างท่านอาจารย์บ้าง เพราะท่านเป็นคนเก่งมาก
ฉันจึงตอบไปตามความจริงที่ตนเห็นได้ว่า ถ้าคิดว่าใครคนหนึ่งเก่งแล้วอยากให้คนอื่นเก่งตามบ้าง มันไม่น่าจะสอดคล้องกันกับความจริงของชีวิตที่อยู่บนพื้นฐานความหลากหลาย
สำหรับฉันเอง เข้าใจว่า ตนไม่ได้เก่งกว่าใครเลย หากเราแต่ละคนต่างก็เป็นคนเหมือนกัน บางคนอาจคิดว่าฉันเก่งกว่าคนอื่น แต่สำหรับความรู้สึกจากใจฉันกลับมองเห็นว่า ตัวเองเป็นเพียงชีวิตหนึ่งซึ่งอยู่บนพื้นฐานความหลากหลายเท่านั้น ถ้าใครคิดว่าคนอื่นต้องเหมือนฉัน ย่อมหมายความว่าคนเราต้องเหมือนกันหมด ซึ่งขัดกันกับความจริงที่อยู่บนพื้นฐานธรรมชาติ
ฉันกลับรู้สึกว่าเรียนอะไรก็ตาม อย่างน้อยไม่น่าจะดูถูกสิ่งที่เป็นพื้นฐาน แม้จะเรียนภาษาไทยผ่านมาจนกระทั่งถึงขั้นที่เข้าใจสิ่งต่างๆได้อย่างหลากหลายแล้ว แต่พื้นฐานสำคัญน่าจะอยู่ที่ความจริง ซึ่งลงรากฝังลึกอยู่ในใจตนเองมาก่อน ย่อมมีผลสื่อความหมายกับทุกคนได้ทั้งหมดอย่างเป็นธรรมชาติ
ฉันนึกถึงการเรียนวิทยาศาสตร์ของฉันในช่วงเริ่มแรก ชวนให้มีข้อมูลเกี่ยวกับนักวิทยาศาสตร์ที่นำมาใช้อ้างอิงผ่านบันทึกข้อเขียน ซึ่งอยู่ในตำราเรียน
นักวิทยาศาสตร์คนนั้นก็คือ อคิมีดิส ซึ่งเป็นผู้ค้นพบทฤษฏีความถ่วงจำเพาะ โดยนำตัวเองลงไปในอ่างน้ำที่มีน้ำเต็มเปี่ยม
เขาพบว่า น้ำที่ล้นออกมาจากอ่าง ย่อมมีปริมาตรเท่ากันกับปริมาตรตัวของเขา แม้ว่าจะเป็นทฤษฏีขั้นต้น แต่หากไม่มีสิ่งนั้น ชนรุ่นหลังคงยังไม่สามารถจะสืบทอดจากตรงนั้น อีกทั้งขยายขอบข่ายกว้างขวางออกไปและลึกซึ้งยิ่งขึ้นจนถึงปัจจุบัน ซึ่งทฤษฏีนี้ก็ยังคงใช้ได้
หวนกลับมานึกถึงก้อนหินก้อนหนึ่งซึ่งตกลงไปในน้ำ ทำให้เกิดคลื่นเป็นวงกลมรอบตัวเอง หลังจากนั้นมันก็ได้กลายเป็นระลอกคลื่นวิ่งตามกันออกไป จนกระทั่งในที่สุดผิวน้ำบริเวณนั้น ก็จะกลับคืนสู่สภาพเป็นปกติ
หวนกลับมานึกถึงศาสนา ซึ่งปัจจุบันนี้ มีอยู่ในโลกมากกว่าหนึ่งศาสนา นอกจากนั้นแต่ละศาสนา ก็ยังเกิดจากรากฐานความคิดที่เชื่อกันว่า ลึกซึ้งที่สุดของกลุ่มบุคคลผู้เริ่มต้นคิดได้ แต่ก็หาใช่ว่าในโลกนี้จะเกิดขึ้นจากบุคคลเพียงคนเดียวไม่ เช่นเดียวกันกับหินก้อนหนึ่ง ซึ่งตกลงไปอยู่ในน้ำ แล้วคลื่นบนผิวน้ำที่เกิดขึ้นมันก็ค่อยๆกระจายหายไป วันหนึ่งข้างหน้าอาจมีอีกก้อนและอีกก้อนตามมาอีกก็เป็นได้
หากแต่ละจุดย่อมเกิดขึ้นบนพื้นฐานตนเองอย่างอิสระ โดยที่ต่างกรรมและต่างกาลเวลากัน ทำให้เกิดความเชื่อที่สานจิตใจคนแยกกันออกไปเป็นกลุ่มๆ แม้กาลเวลาจะผ่านพ้นมานานแค่ไหน ความเชื่อที่หยั่งรากลงลึกใกล้จุดเกิดที่สุด ย่อมค่อยๆแปรเปลี่ยนไปเป็นสภาพปกติเช่นเดียวกันกับคลื่นและผิวน้ำ ซึ่งหลังจากเกิดขึ้นแล้ว ย่อมค่อยๆคลี่คลายหายไปเป็นปกติอย่างเป็นธรรมชาติในที่สุด
ดังนั้น หากชีวิตแต่ละคนมีทั้งรากฐานจิตใจและทิศทางของการเปลี่ยนแปลงที่มั่นคง ย่อมสามารถรู้และเข้าถึงสัจธรรมให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้
แต่สิ่งที่กล่าวมานี้มันไม่ใช่ก้อนหินแต่ละก้อนกับพื้นน้ำเท่านั้น หากเป็นจิตวิญญาณมนุษย์ที่มีความคิดและพฤติกรรม ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า กำลังถึงโค้งสุดท้ายของวิถีการเปลี่ยนแปลงของโลกแล้วหรือยัง
หลังจากความจริงที่ผ่านพ้นกาลเวลามาพอสมควรแล้ว แทนที่จะหายไปทำให้เกิดสภาวะราบเรียบ หากรากฐานจิตใจคนที่เคยลึกซึ้งกลับตื้นเขินมากขึ้น ย่อมยากที่จะหยั่งลงไปถึงความจริงได้อย่างลึกซึ้ง เหมือนช่วงที่มีบุคคลผู้หนึ่งยืนเด่นขึ้นมาท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม
ดังนั้น ความไม่เข้าใจระหว่างกัน ซึ่งเป็นผลทำให้เกิดการแบ่งพรรคแบ่งพวก ไม่เพียงแต่เรื่องศาสนาเท่านั้น แม้เรื่องอื่นใดก็ตามที่มีเงื่อนไขที่เป็นความจริงอยู่ในรากฐานจิตใจคนยุคนี้
ทั้งนี้และทั้งนั้น หากสามารถหวนกลับไปนึกถึงจุดเริ่มต้นของแต่ละศาสนา ดังที่กล่าวกันว่า ทุกศาสนาต่างก็มีสิ่งดีทั้งสิ้น อาจมีผู้ตั้งคำถามๆว่า พระเจ้า พระผู้เป็นเจ้า พระพุทธเจ้า คืออะไร? ฉันอาจตอบจากความรู้ความเข้าใจที่มีความจริงอยู่ในใจตนเองว่า “คือธรรมชาติ” ซึ่งแท้จริงแล้วหมายถึงธรรมชาติที่อยู่ในรากฐานจิตใจมนุษย์ในโลกนี้ที่เชื่อมโยงถึงกันและกันได้ทั้งหมด
หากมองเห็นคุณค่าของสิ่งซึ่งตนคิดว่าสร้างปัญหา ทำให้นำปฏิบัติได้อย่างมั่นคงแข็งแกร่ง ย่อมมีผลชำระล้างเงื่อนไขที่อยู่ในรากฐานจิตใจตนเอง ช่วยให้แต่ละคนมีโอกาสเรียนรู้ความจริง ซึ่งมีอยู่ในจิตใจเป็นหนึ่งเดียวกันได้ทั้งหมด โลกนี้คงมีแต่ความสุขอย่างเป็นธรรมชาติ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น