2554-07-31

ชีวิต ความตาย และการอยู่รอด

กฤษณมูรติ : บรรยาย
กรรณิการ์ พรมเสาร์ : แปล



จาก คำบรรยาย เรื่องการดำรงชีวิต ชุดที่ ๓ :


 
ชีวิต ความตาย และการอยู่รอด


มะขามต้นนั้นสวยสง่าเก่าแก่ เต็มไปด้วยฝัก ใบใหม่อ่อนนุ่ม การที่มันขึ้นอยู่ริมแม่น้ำลึกทำให้มันได้รับน้ำท่าบริบูรณ์ ให้ร่มเงาที่พอเหมาะแก่สรรพสัตว์และผู้คน มักมีเสียงเอะอะอึกทึกดังอยู่ใต้ต้นเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเสียงพูดคุยดังๆ หรือเสียงลูกวัวร้องเรียกหาแม่ สัดส่วนของมันงดงาม รูปร่างสวยสง่าเมื่อตัดกับท้องฟ้าสีฟ้า มันมีชีวิตชีวาไม่รู้จักแก่ มันน่าจะได้เป็นประจักษ์พยานในอะไรต่อมิอะไรตลอดฤดูร้อนที่ผ่านพ้นจนนับไม่ถ้วน มันเฝ้าดูแม่น้ำและสิ่งที่ดำเนินไปตามริมฝั่งน้ำนั้น แม่น้ำสายนี้เป็นแม่น้ำที่น่าสนใจ กว้างใหญ่และศักดิ์สิทธิ์ ผู้เดินทางแสวงบุญมาจากทุกส่วนของประเทศเพื่อลงอาบน้ำศักดิ์สิทธิ์ ในแม่น้ำมีเรือเคลื่อนคล้อยไปเงียบๆ ด้วยใบเรือสี่เหลี่ยมจัตุรัสสีทึบทึม เมื่อพระจันทร์ขึ้นเต็มดวง มีสีเกือบแดง ทำให้เกิดทางสีเงินบนผิวน้ำที่กระเพื่อมไหว มักจะเป็นโอกาสแห่งความสนุกสนานรื่นเริงของหมู่บ้านที่อยู่ข้างเคียงและริมฝั่งตรงข้าม ในวันสำคัญทางศาสนา ชาวบ้านจะมายังฝั่งน้ำ ร้องเพลงจังหวะร่าเริง นำอาหารมาด้วย มาพูดคุย หัวเราะ พวกเขามักจะอาบน้ำในแม่น้ำ จากนั้นจะวางมาลัยไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ โรยเถ้าสีแดง เหลือง รอบโคนต้น เพราะมันเป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์เช่นเดียวกับไม้ทุกต้น ครั้นการพูดคุยและตะโกนโหวกเหวกยุติลงในที่สุด ทุกคนก็กลับเคหะสถานของตน ตะเกียงดวงหนึ่งหรือสองดวงที่ชาวบ้านผู้ศรัทธาทิ้งไว้ยังคงลุกสว่าง ตะเกียงเหล่านี้ประกอบด้วย ไส้ตะเกียงในถ้วยดินเผาบรรจุน้ำมัน ซึ่งชาวบ้านหามาได้ด้วยความยากลำบาก ต้นไม้ต้นนี้จึงมีความสำคัญยิ่ง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นสมบัติของมัน ทั้งแผ่นดิน แม่น้ำ ผู้คน และดวงดาว ในไม่ช้ามันก็จะกลับมาอยู่กับตัวเอง เพื่อหลับไหลจนกว่าจะสัมผัสแสงแรกของดวงตะวันยามเช้า

บ่อยครั้ง ที่พวกเขานำร่างของผู้ตายมายังริมฝั่ง กวาดพื้นดินใกล้น้ำ ก่อนอื่นพวกเขานำท่อนซุงหนักมาวางเป็นฐานเชิงตะกอน ซ้อนด้วยไม้เนื้อเบาขึ้นไป ร่างของผู้ตายที่คลุมด้วยผ้าใหม่สีขาวจะถูกนำไปวางบนสุด ญาติที่ใกล้ชิดผู้ตายที่สุดเป็นผู้ใช้คบไฟจุดเชิงตะกอน เปลวไฟมหึมาลุกโชนสูงขึ้นไปในความมืด ส่องสว่างแก่แม่น้ำ และใบหน้าอันสงบเงียบของญาติมิตรผู้ตาย ตลอดจนเพื่อนพ้องที่นั่งรอบกองไฟ ต้นมะขามได้รับความสว่างบางส่วนและมอบสันติให้แก่เปลวไฟที่เต้นระริก ใช้เวลา ๒-๓ ชั่วโมงซากศพก็ไหม้หมด แต่พวกเขาทุกคนยังนั่งอยู่จนกระทั่งไม่เหลือสิ่งใด เว้นแต่เถ้าถ่านที่คุกรุ่นและเปลวไฟริบหรี่ ท่ามกลางความเงียบวังเวงอย่างยิ่งนี้ ทารกอาจร้องจ้าขึ้นมากระทันหัน แล้ววันใหม่ก็เริ่มต้น

เขาเคยเป็นคนมีชื่อเสียงพอสมควร เขานอนรอความตายอยู่ในบ้านน้อยหลังกำแพง สวนเล็กๆ ที่เขาเคยดูแลบัดนี้ถูกละเลย เขาเคยถูกห้อมล้อมด้วยภรรยาและลูกๆ ตลอดจนญาติพี่น้องที่ใกล้ชิด คงอีกหลายเดือนหรืออาจนานกว่านั้น ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต พวกเขาห้อมล้อมชายผู้นี้อยู่ ภายในห้องหนักอึ้งไปด้วยความทุกข์โทมนัส ตอนที่ผมเข้าไป เขาบอกให้คนเหล่านั้นออกไป พวกเขาออกไปอย่างเสียไม่ได้ เหลือเพียงเด็กผู้ชายเล็กๆ คนหนึ่งกำลังเล่นของเล่นอยู่บนพื้นห้อง เมื่อคนเหล่านั้นออกไปแล้ว เขาก็โบกมือให้ผมไปนั่งที่เก้าอี้ เรานั่งอยู่ครู่หนึ่งโดยไม่พูดอะไร ขณะที่เสียงของคนในบ้านและที่ถนนดังลอดเข้ามาในห้อง

เขาพูดขึ้นมาอย่างลำบากยากเย็น " ผมคิดหนักมานานหลายปีเรื่องการมีชีวิตอยู่ ยิ่งกว่านั้นคือเรื่องการตาย เพราะผมเป็นโรคร้ายเรื้อรัง ความตายดูเป็นของแปลกใหม่ ผมอ่านหนังสือหลายเล่มที่พูดถึงปัญหานี้ แต่ทั้งหมดนั้นออกจะตื้นเขิน"

แล้วบรรดาข้อสรุปทั้งหลายไม่ตื้นเขินหรอกหรือ?

"ผมไม่ใคร่แน่ใจนัก หากเราสามารถได้ข้อสรุปที่สร้างความพึงพอใจอย่างลึกซึ้งได้ ข้อสรุปเหล่านี้ก็น่าจะมีความหมายอยู่บ้าง จะผิดตรงไหนกับการมีข้อสรุป ตราบใดที่มันสร้างความพึงพอใจได้?"

ไม่มีอะไรผิดหรอก แต่จะไม่เป็นการเดินตามเส้นขอบฟ้าที่ลวงตาหรอกหรือ? จิตใจมีพลังพอที่จะสร้างมายาได้หลายรูปแบบ และการที่ผูกติดกับมันเป็นเรื่องไม่จำเป็นและไร้วุฒิภาวะ

"ผมใช้ชีวิตที่ค่อนข้างหรูหราและทำในสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นภารกิจของผม แต่แน่ละผมก็เป็นมนุษย์ปุถุชน อย่างไรก็ตามชีวิตแบบนั้นสิ้นสุดลงแล้ว และตอนนี้ผมก็เป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ แต่โชคดีที่จิตใจผมยังไม่กระทบกระเทือน ผมอ่านหนังสือมามาก และผมก็ยังกระหายใคร่รู้เหมือนเดิมว่าเกิดอะไรขึ้นหลังความตาย ผมจะยังอยู่ต่อไปไหม หรือเมื่อร่างกายตายลงก็ไม่มีอะไรเหลือเลย?"

ขอถามได้ไหมว่าทำไมคุณถึงได้อยากรู้นักว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังความตาย?

"ทุกคนก็อยากรู้มิใช่หรือ?"

อาจจะอยากรู้ แต่ถ้าหากเราไม่รู้ว่าการมีชีวิตอยู่คืออะไร เราจะรู้ได้อย่างไรว่าความตายคืออะไร? การมีชีวิตอยู่และความตายอาจเป็นสิ่งเดียวกันก็ได้ และข้อเท็จจริงที่ว่า เราได้แยกมันออกจากกัน อาจเป็นสาเหตุแห่งความเศร้าโศกอย่างใหญ่หลวงก็เป็นได้

ผมตระหนักดีถึงสิ่งที่คุณเคยพูดเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ในการบรรยายของคุณ แต่ผมก็ยังอยากรู้อยู่ดี คุณจะกรุณาบอกผมได้ไหมว่าอะไรเกิดขึ้นหลังการตาย? ผมจะไม่บอกใคร"

ทำไมคุณถึงดิ้นรนอยากรู้นัก? ทำไมคุณไม่ปล่อยให้มหาสมุทรแห่งชีวิตและความตายเป็นไปเอง โดยไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่งเล่า?

"ผมไม่อยากตาย" เขาว่า มือของเขาจับข้อมือผม "ผมกลัวความตายมาโดยตลอด และแม้ว่าผมพยายามที่จะปลอบใจตัวเองด้วยการหาเหตุผลมาอธิบายเข้าข้างตัวเอง และด้วยความเชื่อ มันก็เป็นเหมือนแผ่นไม้บางๆ ที่เคลือบความทุกข์ทรมานอันล้ำลึกที่เกิดจากความกลัวเท่านั้น การอ่านหนังสือเกี่ยวกับความตายทั้งหมดของผมเป็นการพยายามหลบลี้หนีจากความกลัว เพื่อค้นหาทางออก และด้วยเหตุผลเดียวกันกับที่ผมกำลังขอความรู้คุณอยู่ขณะนี้"

การหลบหนีใดๆ ก็ตามจะปลดปล่อยจิตใจให้เป็นอิสระจากความกลัวได้หรือ? มิใช่การหลบหนีหรอกหรือที่เป็นตัวเพาะความกลัวขึ้นมา?

"แต่คุณบอกผมได้นี่ครับ และสิ่งที่คุณบอกก็จะเป็นเรื่องจริง สัจจะข้อนี้จะปลดปล่อยผมให้เป็นอิสระ..."

เรานั่งเงียบกันอยู่ครู่หนึ่ง ไม่นานนักเขาก็พูดขึ้นอีก

"ความเงียบ มีผลในการเยียวยา มากกว่าการตั้งคำถามด้วยความวิตกกังวลทั้งหมดของผม ผมหวังว่าผมจะคงอยู่ในความเงียบได้และตายไปอย่างสงบ แต่จิตใจผมไม่ปล่อยให้เป็นเช่นนั้น จิตใจของผมกลายเป็นทั้งพรานและเหยื่อที่ถูกล่า ผมถูกทรมาน ร่างกายผมเจ็บปวดแสนสาหัส แต่ว่ามันเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในจิตใจผม หลังความตายมีความสืบเนื่องที่อาจระบุได้หรือเปล่า? "ฉัน"ซึ่งเคยมีความสนุกสนานเบิกบาน มีทุกข์ เป็นที่รู้จักนี้-จะยังคงอยู่ต่อไปหรือไม่?"

"ฉัน"ที่จิตใจของคุณติดยึดอยู่และที่คุณต้องการให้ดำรงอยู่สืบไปคืออะไรเล่า? โปรดอย่าตอบ แต่ให้คุณฟังเงียบๆ ได้ไหม? ตัว"ฉัน"เกิดขึ้นได้โดยอาศัยทรัพย์สมบัติ ชื่อ ครอบครัว ความล้มเหลวและความสำเร็จ อาศัยสิ่งทั้งหมดที่คุณเคยเป็นและต้องการเป็น คุณเป็นสิ่งต่างๆ ทั้งหมดที่คุณใช้ในการบ่งชี้ตัวเอง คุณถูกสร้างขึ้นด้วยสิ่งเหล่านั้น และถ้าไม่มีสิ่งต่างๆ เหล่านี้ก็ไม่มีคุณ การจำแนกแยกแยะตัวเองโดยอาศัยผู้คน สมบัติพัสถาน มโนคตินี้เองหรือที่คุณอยากให้ดำรงอยู่สืบต่อไปแม้เมื่อพ้นไปจากความตาย มันเป็นสิ่งมีชีวิตหรือเปล่า? หรือมันเป็นแค่มวลที่มีความขัดแย้งของความปรารถนา การแสวงหา ความสำเร็จ และความสิ้นหวัง ที่มีความเศร้ามากกว่าความสุข?

"อาจจะเป็นอย่างที่คุณแนะก็ได้ แต่มันก็ยังดีกว่าไม่รู้อะไรเอาเสียเลย"

สิ่งรู้ย่อมดีกว่าสิ่งไม่รู้อย่างนั้นใช่ไหม? แต่สิ่งรู้นั้นเล็กมาก กระจ้อยร่อยนัก และมีขอบเขตจำกัด สิ่งรู้คือความเศร้าโศก และคุณก็ยังกระหายใคร่ได้ความสืบเนื่องของมัน

"ขอให้เห็นแก่ผมบ้าง ปราณีด้วยเถิด อย่าใจแข็งนักเลย ถ้าเพียงแต่ผมรู้ ผมจะได้ตายอย่างมีความสุข"

อย่าดิ้นรนอยากรู้นักเลย เมื่อความพยายามที่จะรู้ยุติลง จะมีอะไรบางอย่างที่จิตใจไม่ได้ปรุงแต่งเกิดขึ้น สิ่งไม่รู้นั้นใหญ่โตกว่าสิ่งรู้ สิ่งรู้เป็นเพียงเรือลำหนึ่งบนมหาสมุทรแห่งความไม่รู้ ปล่อยให้สรรพสิ่งดำเนินไปและดำรงอยู่เช่นนั้นเถิด

ภรรยาของเขาเข้ามาพอดีในตอนนั้นเพื่อเอาเครื่องดื่มมาให้เขา เด็กผู้นั้นลุกขึ้นและวิ่งออกไปจากห้องโดยไม่มองดูเรา เขาบอกภรรยาให้ปิดประตูตอนเธอออกจากห้องและอย่าให้เด็กกลับเข้ามาอีก

"ผมมิได้เป็นห่วงครอบครัวผม อนาคตของพวกเขาได้รับการดูแลตระเตรียมไว้แล้ว ที่ผมเป็นกังวลก็คืออนาคตผมเอง ผมรู้แก่ใจตัวเองดีว่าสิ่งที่คุณพูดนั้นเป็นความจริง แต่ใจผมเหมือนม้าที่กำลังวิ่งควบโดยไร้ผู้ขับขี่ คุณจะช่วยผมได้ไหม หรือว่าอย่างผมนี้ไม่อาจช่วยอะไรได้แล้ว?"

สัจจะเป็นสิ่งที่แปลก ยิ่งคุณติดตามมันเท่าไร มันก็ยิ่งหลบหนีคุณเท่านั้น คุณไม่อาจจับมันไว้ได้ไม่ว่าด้วยวิธีใด ไม่ว่าจะเป็นวิธีที่ฉลาดลึกซึ้ง หรือใช้กลลวงอย่างไร คุณไม่อาจยึดมันไว้ในข่ายของความคิดได้ จงตระหนักในข้อนี้แล้วปล่อยวางทุกสิ่ง ในการเดินทางของชีวิตและความตาย คุณต้องเดินทางตามลำพัง การเดินทางนี้ไม่อาจมีความรู้ ประสบการณ์ หรือความทรงจำใดๆ มาช่วยทำให้คุณสบายใจได้ จิตใจต้องถูกชำระล้างให้หมดจด จากสิ่งที่มันเก็บสะสม อันเป็นผลจากการร่ำร้องหาความมั่นคงปลอดภัย พระเจ้าของมันและศีลธรรมทั้งหลาย จะต้องถูกส่งคืนแก่สังคมที่บ่มเพาะมันขึ้นมา มีแต่ความอ้างว้างโดดเดี่ยวอย่างยิ่งโดยไร้สิ่งใด

"วันเวลาของผมมีจำกัด ลมหายใจผมเหลือน้อยเต็มทีแล้ว คุณยังมาขอสิ่งที่ยากยิ่ง ให้ผมตายโดยไม่รู้ว่าความตายคืออะไร แต่ผมนั้นพร้อมแล้ว ปล่อยชีวิตผมไว้อย่างนี้เถอะ อาจมีอะไรดีๆ เกิดขึ้นกับชีวิตผมก็ได้"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

2leep.com