2554-07-29

เหตุการณ์ Shoe - Banging Incident


เมื่อเร็วๆนี้เกิดเหตุการณ์เกือกบันลือโลก เมื่อนักข่าวอิรักหยิบรองเท้าทั้งสองข้างขว้างออกไปโดยมีเป้าหมายที่หน้าประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช ของสหรัฐ
ย้อนกลับไปเมื่อเกือบ 50 ปีก่อน ก็เคยเกิดเรื่องรองเท้าบันลือโลกมาแล้วครั้งหนึ่ง คราวนั้นเป็นฝีมือของนิกิต้า ครุชชอฟ อดีตผู้นำสหภาพโซเวียต เหตุการณ์ครั้งนั้นถูกเรียกว่า Shoe - Banging Incident
เนื่องจากไม่มีการบันทึกภาพเคลื่อนไหวเอาไว้เป็นหลักฐาน รายละเอียดของเหตุการณ์ก็เลยค่อนข้างจะสับสนอยู่สักหน่อย จากข้อมูลของวิกิพีเดีย บอกว่า เรื่องนี้เกิดเมื่อ 12 ตุลาคม 1960 หรือเมื่อ 48 ปีก่อน ในช่วงนั้นกำลังมีการประชุมแบบครบองค์ประชุม ครั้งที่ 902 ของสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ ที่นิวยอร์ก


เรื่องของเรื่องเริ่มเมื่อวุฒิสมาชิก โลเรนโซ ซูมูลอง ตัวแทนฟิลิปปินส์ประจำสหประชาชาติ ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์โจมตีนโยบายต่างประเทศของสหภาพโซเวียต ในทำนองที่ว่า เขาเห็นด้วยกับครุชชอฟ นายกรัฐมนตรีโซเวียตที่เสนอเกี่ยวกับประเด็นเรื่องสิทธิในเอกราชสำหรับประเทศที่ยังเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก แต่เห็นว่าเรื่องนี้ควรรวมถึงสิทธิในเอกราชของกลุ่มประเทศยุโรปที่ถูกโซเวียตริดรอนสิทธิมากมายด้วย
เมื่อถึงตอนนี้ ครุชชอฟเกิดตบะแตก และได้ลุกออกมาจากที่นั่งของคณะตัวแทนโซเวียต เดินมาที่แท่นอภิปราย ก่อนจะดันซูมูลองออกไป และเรียกร้องให้ประธานการประชุมจากไอร์แลนด์ สั่งให้ซูมูลองรักษาระเบียบการประชุม ซึ่งประ ธานก็ดำเนินการไปตามนั้น โดยขอให้ตัวแทนจากฟิลิปปินส์ เลี่ยงที่จะพูดถึงสิ่งที่ทำให้ฝ่ายโซเวียตเคือง จนต้องมีการลุกขึ้นมาก่อกวนอีก
จากนั้น ซูมูลองก็กล่าวสุนทรพจน์ต่อไป ขณะที่ครุชชอฟ ซึ่งนั่งฟังอยู่ที่โต๊ะของฝ่ายตัวแทนโซเวียต ก็เอากำปั้นทุบโต๊ะอยู่เป็นระยะ และบางโอกาสก็ยังหยิบรองเท้าของตัวเองมาเคาะด้วย
จากนั้น ก็ถึงคิวของตัวแทนจากโรมาเนียขึ้นพูดบ้าง ซึ่งก็มีการกล่าวโจมตีประธานการประชุม จนประธานโกรธถึงกับหน้าแดง และได้ปิดไมโครโฟนของผู้กล่าวสุนทรพจน์ จากนั้นก็เกิดเหตุการณ์เอะอะโวยวายกันหนักขึ้น จนประธานต้องสั่งเลื่อนการประชุมออกไป แต่รายงานอีกกระแสหนึ่งบอกว่า ครุชชอฟใช้กำปั้นทุบโต๊ะ ก่อนที่จะเดินออกไปประท้วง ซูมูลอง
อีกหลายปีต่อมานางนีน่า ครุชชอฟว่า หลานของครุชชอฟ ได้เขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้ หลังจากที่ครอบครัวครุชชอฟ พากันนิ่งเงียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นมานานหลายสิบปี โดยบอกว่า ในวันนั้น ครุชชอฟ ใส่รองเท้าใหม่ไปฟังประชุม รองเท้าคู่นั้นคับ เขาเลยถอดมันออกระหว่างที่นั่งฟังการประชุม และในช่วงที่เขาเอากำปั้นทุบโต๊ะ ปรากฏว่านาฬิกาข้อมือของเขาตกลงใต้โต๊ะ เมื่อก้มลงเก็บนาฬิกา และได้เห็นรองเท้า ก็เลยหยิบมันขึ้นมาเคาะ
ในบันทึกความทรงจำของครุชชอฟเอง เขาบอกถึงเรื่องนี้ในอีกแนวหนึ่งโดยบอกว่าตอนนั้นเขากำลังพูดโจมตีรัฐบาลนายพลฟรังโก้ของสเปน ซึ่งตัวแทนฝ่ายสเปนก็ได้ลุกขึ้นตอบโต้ และหลังจากที่เขาพูดจบ ตัวแทนจากกลุ่มประเทศสังคมนิยม ได้ส่งเสียงเอะอะเพื่อประท้วงสเปน เขาก็เลยอยากเติมความเร่าร้อนให้มากขึ้นอีกเล็กน้อย ก็เลยถอดรองเท้าออกมา แล้วนำมันมาเคาะโต๊ะเพื่อทำให้เสียงการประท้วงดังมากขึ้น แต่ในช่วงท้ายของหนังสือ ทางบรรณาธิการระบุว่า ความทรงจำส่วนนี้ของครุชชอฟ ไม่ถูกต้อง


คู่นี้เป็นรองเท้าของครุชชอฟ แต่ไม่ใช่คู่ที่ใช้เคาะที่ยูเอ็น เพราะคู่นั้นทางครอบครัวได้โยนทิ้งไปเพราะความสับสน คิดว่าคู่นี้เป็นคู่ที่ครุชชอฟใช้สร้างประวัติศาสตร์ที่ยูเอ็น

นีน่า ครุชชอฟว่า เล่าถึงเบื้องหลังของเรื่องนี้ว่า การประชุมที่นิวยอร์กในปีนี้ เกิดขึ้น 15 ปีหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 บาดแผลต่างๆจากสงครามได้รับการเยียวยา มนุษยชาติสามารถอยู่รอดได้ และทุกคนต่างก็หวังในชีวิตที่ดีกว่า เพราะในปีนั้น ยูเอ็นรับสมาชิกใหม่จากแอฟริกาเพิ่มอีก 15 ประเทศ มีการเสนอเรื่องการลดอาวุธนิวเคลียร์ มีการก่อตั้งกลุ่มประเทศที่ 3 ที่แยกตัวเองออกจากทุนนิยม และสังคมนิยม มีการเสนอแนวคิดเรื่องการอยู่ร่วมกันอย่างสันติระหว่างฝ่ายตะวันตกกับยุโรปตะวันออก ในการประชุมครั้งนั้น มีผู้นำคนดังจากประเทศใหญ่ประเทศเล็กเข้าร่วมมากมาย เช่นไอเซนฮาวร์ ของสหรัฐ , แม็คมิลลานจากอังกฤษ , คาสโตรจากคิวบา , เนห์รู จากอินเดีย , นัสเซอร์จากอียิปต์
ผู้นำส่วนใหญ่ออกมาพูดถึงบทบาทประเทศของพวกเขาที่มีต่อนานาชาติ แต่แม้จะมีความตั้งใจเช่นนี้ ฝ่ายตะวันตก และตะวันออก ก็ชอบที่จะโจมตีซึ่งกันและกันว่าฝ่ายไหนเป็นฝ่ายที่ผิด กลุ่มประเทศที่ 3 ก็ขัดแย้งกันเอง แอฟริกาที่โซเวียตหนุนหลัง ก็หันมาขัดแย้งกับโซเวียต ครุชชอฟเอง ก็ชอบที่จะใช้ทุกโอกาสที่มี ในการทำให้สถานการณ์ร้อนมากขึ้น ผู้นำสหรัฐก็ไม่ได้พยายามทำให้ควมตึงเครียดลดลง ก็เลยทำให้การประชุมครั้งนี้ กลายเป็นการประชุมที่อื้อฉาวที่สุดในประวัติศาสตร์ยูเอ็น
โดยเมื่อเดือนกันยายนจากไป ท่าทีของครุชชอฟก็เบาลง เพราะทุกคนต่างก็เหนื่อยกับการประชุม ผู้นำต่างๆก็เดินทางกลับบ้านไปมากแล้ว โอกาสที่เขาจะได้ลุกขึ้นมาสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการแสดงอารมณ์โกรธเกรี้ยวกลางวงประชุมยูเอ็น แทบจะไม่มีเหลืออยู่แล้ว ครุชชอฟเองก็ประกาศจะเดินทางกลับโซเวียตในวันที่ 13 ตุลาคม


ในวันที่ 11 ตุลาคม ครุชชอฟ ได้ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งบรรยากาศก็ร้อนแรงพอๆกัน แต่ไม่มีการควักรองเท้าออกมาเคาะ แต่ในวันถัดมา ครุชชอฟก็ก่อเรื่อง และกลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ทั่วโลก
นีน่า ครุชชอฟว่า บอกว่า ในช่วงนั้น มีหลักฐานมากมายที่ชี้ว่า มหาอำนาจตะวันตกปฏิบัติไม่ดี และไม่ไว้ใจโซเวียต โดยดูได้จากการส่งเครื่องบินยูทูเข้ามาสอดแนมในโซเวียต แผนการช่วยเหลือยุโรปของสหรัฐ การคว่ำบาตรคิวบาของสหรัฐ การปฏิเสธแผนลดอาวุธนิวเคลียร์ที่โซเวียตเสนอ และการที่ครุชชอฟ ได้รับการดูถูกจากฝ่ายตรงข้ามว่า ไม่มีน้ำยาอะไร
ครุชชอฟ ซึ่งพยายามอย่างที่สุดแล้วที่จะให้โลกรับฟัง และมองสังคมนิยมอย่างจริงจัง แต่ปรากฏว่าโลกไม่รับฟัง เพราะในการประชุมครั้งนั้นมีผู้นำที่โดดเด่นขึ้นมาพูดมากมาย และไม่มีใครสนใจผู้นำร่างเตี้ยของโซเวียต ครุชชอฟก็เลยหันไปใช้วิธีของเขาในการทำให้ผู้คนหันมารับฟัง
นีน่า ครุชชอฟว่า บอกว่าตัวเธอคิดว่า ถ้าไม่เกิดกรณีนี้ขึ้น ก็จะต้องมีคนคิดค้นจัดการให้มีมันขึ้นมา เธอบอกว่า กรณีนี้ กลายเป็นสัญลักษณ์ของสงครามเย็น และก็อาจจะเป็นสงครามเดียวที่ความหวาดกลัวสามารถอยู่คู่กับความขบขันได้เป็นอย่างดี และจากการศึกษาเรื่องนี้เธอก็พบว่า บางทีประวัติศาสตร์ก็ให้โอกาสเราทดแทนความเป็นจริงที่น่าหวาดกลัวด้วยเรื่องตลกๆ และเมื่อสันติภาพหรือการทิ้งระเบิดไม่สามารถทำอะไรได้ เราก็อาจจะต้องการการหัวเราะ ที่จะทำให้เรามีอายุยืนยาวมากขึ้น
และเมื่อคิดถึงในประเด็นนี้ ก็ทำให้ครอบครัวของครุชชอฟในปัจจุบัน ไม่รู้สึกเครียดกับการกระทำของครุชชอฟ เมื่อเกือบ 50 ปีก่อนอีกต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

2leep.com