“ถ้าหากย้อนเวลาได้แล้ว เราจะต้องไม่ทำในสิ่งที่เราได้เคยกระทำในโอกาสนั้นๆของชีวิต หรือ ถ้าหากย้อนเวลาได้แล้ว เราจะต้องทำสิ่งนั้นๆ ต้องทำสิ่งนี้แน่ๆ" แต่ก็ไม่สามารถกระทำได้ในโอกาสนั้นแล้ว เพราะ ณ วัน เวลา และสถานที่ดังกล่าวในอดีตนั้น เราไม่ได้ทำในสิ่งที่ควรกระทำในโอกาสนั้นๆของชีวิตที่ผ่านมา จึงรู้สึกเสียดายโอกาสในอดีตที่ผ่านเลยไปแล้ว และก็ไม่สามารถ ย้อนเวลากลับไปสู่วันเวลาและสถานที่ที่โอกาสเปิดช่องให้ในลักษณะดังกล่าวให้อีกต่อไป ทำไมเราไม่วางแผนชีวิตของเราไว้ล่วงหน้าว่า ในวันนี้ ในเวลานี้ เราควรกระทำสิ่งใด หรือไม่ควรกระทำในสิ่งใด สิ่งที่ว่านั้นมันมีผลดีต่อตนเอง/ ต่อครอบครัว/ ต่อผู้ที่เรามีความรักความห่วงใย/ ต่อผู้มีพระคุณของเรา ใช่หรือไม่ เพียงไร? สิ่งใดๆ ก็ตามที่เราได้ไตร่ตรองแล้ว เห็นว่า เป็นสิ่งที่จะก่อให้เกิดผลดีต่อตัวเราเอง/เป็นสิ่งที่จะก่อให้เกิดผลดีต่อครอบครัวของเราเอง/ เป็นสิ่งที่จะก่อให้เกิดผลดีต่อผู้ที่เรามีความรัก ความห่วงใย/ เป็นสิ่งที่จะก่อให้เกิดผลดีต่อผู้มีพระคุณของเรา โดยสิ่งดังกล่าวนั้น มิได้ไปกระทำการเบียดเบียนผู้อื่น และ มิได้เป็นการกระทำผิดต่อศีลธรรมจรรยาที่ดีงาม ใช่เลย นั่นคือ สิ่งที่เรา ต้องลงมือทำทันทีในวันนี้ เราต้องไม่ผัดวันประกันพรุ่งอีกต่อไป เราจะต้องเตรียมการ และ ต้องดำเนินการในทันที ท่านจะได้ไม่ต้องมานั่งมานอนเสียใจในภายหลัง โปรดอย่าลืม ว่า วันเวลาและโอกาสอย่างนั้น ไม่มีทางที่จะย้อนกลับมาได้ และ เราอย่าได้ไปฝันว่าจะได้นั่งยาน TIME MACHINE เพื่อย้อนกลับสู่อดีต เพื่อจะแก้ไข หรือ ชดเชยเหตุการณ์ในอดีตที่ ผิดพลาดบกพร่องของตัวเรา ซึ่งทำได้อย่างเดียว คือ ฝันลมๆแล้งๆที่ไร้ผล
เพราะเป็นสิ่งที่ไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นได้เลย ตัวอย่างที่เรามักได้ยินอยู่บ่อยๆ อาทิ
เรื่องที่ 1. หญิงสาวผู้หนึ่งพูดขึ้นว่า คุณแม่ของดิฉันเพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อวานนี้เอง พร้อมกับการร้องไห้คร่ำครวญ และก็พูดต่อไปว่า “ปกติท่านดีกับดิฉันมาก ท่านเลี้ยงดูดิฉันมาด้วยความรักความเอาใจใส่ ให้ความช่วยเหลือดูแล และเอาอกเอาใจดิฉันมาโดยตลอด ดิฉันยังไม่ทันทำอะไรให้คุณแม่ได้ชื่นใจเลย มีแต่ตั้งแง่ตั้งงอน และบางครั้งก็ใช้คำพูดที่ไม่ดีกับคุณแม่ หากย้อนเวลาได้ ดิฉันจะไม่กระทำให้ท่านไม่สบายใจ จะไม่ตั้งแง่ตั้งงอน และจะไม่ใช้คำพูดที่ไม่ดีๆกับคุณแม่เป็นอันขาด” แต่...แต่...คุณแม่ก็มาด่วนจากไปเสียแล้ว ไม่มีโอกาสที่ดิฉันจะทำให้คุณแม่สบายใจ ไม่มีโอกาสที่ดิฉันจะใช้คำพูดที่ดีๆกับคุณแม่ (ย่อมแน่นอน เมื่อคุณแม่ตายไปแล้ว เราจะมีโอกาสทำให้ท่านสบายใจไม่ได้เมื่อท่านจากไปแล้ว เราจะใช้คำพูดที่ดีที่วิเศษอย่างไร ก็ย่อมไร้ผลแน่นอน)
- ดังนั้น ท่านใดที่ยังมีคุณพ่อคุณแม่อยู่ หรือ ท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านจะ อยู่ที่ไหนในโลกนี้ก็ตาม ก็ให้นึกเสมอว่าวันนี้ เราจะทำอะไรดี จะพูดอะไรดี ที่จะ ทำให้ท่านมีความสุข มีความดีใจ มีความชื่นใจ หากท่านอยู่ไกล ให้รีบโทรศัพท์ไปหาท่านโดยทันที ทักทายไต่ถามสารทุกข์สุกดิบของท่าน แสดงความเอื้ออาทรห่วงใยท่าน เพียงเริ่มต้นเท่านี้ ท่านก็ดีใจชื่นใจแล้ว....... หากท่านอยู่ไม่ไกล ก็ให้เดินทางไปหา มี ของกินของใช้เล็กๆน้อยๆติดมือไปเยี่ยมท่านสักนิด......... คิดทบทวนดูสักหน่อยว่า ท่านชอบอะไร ก็ทำสิ่งนั้นๆ พูดสิ่งนั้นๆ ให้สิ่งนั้นๆ เพียงแค่นี้ ก็ถือว่าท่านได้แสดง ความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณของท่านแล้ว โดยท่านจะได้ไม่ต้องมาเสียใจในภายหลังว่า น่าจะกระทำในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่
เรื่องที่ 2. คนไข้ป่วยหนักด้วยโรคถุงลมโป่งพอง มีอาการทรมานในช่วงสุดท้ายของชีวิต มานึกเสียใจในวันเวลาที่ผ่านมา ที่เสียเงินรวมแล้วเป็นจำนวนมาก ในการซื้อบุหรี่มาสูบในช่วง 30 ปีที่เสียเงินเพื่อนำสารพิษเข้าสู่ร่างกายจนทำลายอวัยวะ ภายใน เช่น ปอดจนชำรุด ไม่สามารถซ่อมแซมได้ ทั้งๆที่มีอายุเพียง 46 ปี แต่ดู เหมือนผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี เนื่องมาจากติดบุหรี่มาตั้งแต่ตอนอายุ 16 ปี สารพิษต่างๆเข้าไป ทำลายทั้งอวัยวะภายนอก และอวัยวะภายใน ในส่วนของอวัยวะภายนอก ก็สังเกต เห็นชัดถึง การแก่ก่อนวัยอันควร และกลิ่นตัวที่เหม็น เป็นต้น ในที่สุดก็มาเสียใจกับ วันเวลาที่ผ่านไปแล้ว..............
- ถ้าย้อนเวลาได้ ผู้ป่วยด้วยโรคถุงลมโป่งพองรายนี้ ย่อมตัดสินใจไม่สูบบุหรี่เมื่อ 30 ปีก่อนแน่ แต่มาสำนึกได้ในเวลาที่เห็นโลงศพแล้ว ก็ย่อมไม่เกิดประโยชน์ใดๆ
- ความจริง การซื้อบุหรี่มาสูบ มีความเสียหายมากกว่าการนำธนบัตร มาเผาเล่นเสียอีก เพราะการนำธนบัตรมาเผาเล่นนั้น เป็นการทำลายทรัพย์สินอย่างเดียว แต่การสูบบุหรี่ ก็คือ การซื้อบุหรี่มาเผาเล่น ก็เหมือนการทำลายทรัพย์สิน เช่นเดียวกัน แต่ที่แย่กว่ากันมากก็คือ เราได้เผาสารพิษแล้ว ตัวเรายังดูดเอาควันพิษจากบุหรี่ที่เราจุดเผา แล้วตัวเราเองเป็นผู้นำเอาควันพิษเข้าสู่ร่างกายตัวเราเอง เป็นการนำสารพิษไป ทำลายทั้งอวัยวะภายนอกและอวัยวะภายในของตัวเราเอง ผู้กระทำเช่นว่า มักไม่ เคยคิดด้วยความรอบคอบในขณะสูบ แต่มักจะสำนึกได้ เมื่อมีอาการป่วยมาถึงระยะสุดท้ายของชีวิตแล้ว เหตุทำนองนี้ เกิดซ้ำๆให้เห็นกันตลอดเวลาที่ผ่านมา ใครที่เลิกได้ก่อน ก็ถือว่าโชคดีไป
เรื่องที่ 3. คุณหมอพูดขึ้นว่า “ถ้าเมื่อปีก่อน คุณมาตรวจร่างกายเมื่อเริ่มมีอาการผิดปกติ ย่อมควบคุม การแพร่กระจายของเนื้อร้ายได้ หรือ อาจรักษาให้หายขาดได้ในช่วงเริ่มต้นที่ตรวจพบ คุณย่อมไม่มีสภาพร่างกายเช่นที่ปรากฏในปัจจุบัน เพราะปัจจุบันเนื้อร้ายได้ แพร่กระจายลุกลามไปทั่วร่างกายของคุณแล้ว...............
- หากย้อนเวลาได้ ผู้ป่วยรายนี้ ย่อมต้องไปพบแพทย์เมื่อปีที่แล้ว แน่นอน ไม่ว่าในช่วงนั้นๆ จะมีงานยุ่งมากเพียงไรก็ตาม........
ดังนั้น หากท่านรู้ตัวว่าเริ่มมี อาการผิดปกติ ก็ต้องสังเกตอาการอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง และจดอาการไว้อย่างละเอียด จากนั้น ต้องรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว ท่านจะได้ไม่ต้องมาเสียใจในภายหลัง ที่อาการของโรคมะเร็งได้ลุกลามไปถึงขั้นสุดท้ายแล้ว
เรื่องที่ 4 ชายคนหนึ่งคร่ำครวญว่า “คนรักของผมได้รับอุบัติเหตุทางรถยนต์ และได้เสียชีวิตไปเมื่อวานนี้ ผมรักเธอมากเลย แต่ผมก็ยังไม่เคยบอกรักเธอเลย แต่เธอก็ได้จากไปโดยไม่มีวันกลับ และโดยไม่รู้ว่าผมนั้นรักเธอมาก”
- ถ้าชายหนุ่มรายนี้ ได้บอกรักไปก่อนเมื่อวานนี้ ก็คงไม่ต้องมาเสียใจว่า ยังไม่ได้บอกรักคนรักของตน
ดังนั้นถ้าท่านแน่ใจว่ารักใครแน่ๆแล้ว ก็ให้บอกไปเลยว่ารัก แต่มิใช่หลอกว่ารัก แท้จริงมิได้รักจริง หรือ บอกรักพร่ำเพรื่อ หลายคน ทั้งๆที่มิได้รักจริง ถ้ารักจริง ต้องมีความเสียสละเป็นส่วนประกอบด้วย มิใช่เอาแต่ได้จากการบอกรัก แต่ต้องรู้จักการให้มากกว่าการหวังได้จากการบอกรัก
โปรดอย่าลืมว่า เวลาไม่เคยรอใคร อย่าปล่อยเวลาให้ผ่านเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะเวลาและโอกาส หรือเหตุการณ์เดิม มันไม่มีวันย้อนกลับมาได้ง่ายๆ
เวลาแต่ละวัน ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลต่างๆ เมื่อเวลาผ่านเลยไปแล้วบุคคลที่เกี่ยวข้อง อาจไม่มีชีวิตอยู่แล้วก็ได้ ฉะนั้น จงใช้เวลาของคุณกับบุคคลและเหตุการณ์ต่างๆอย่างระมัดระวัง จงใช้เวลาในแต่ละเหตุการณ์อย่างรู้คุณค่า และใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุดในแต่ละเหตุการณ์ และต้องคิดเสมอว่า ในวันนี้ ในเวลานี้ เราควรกระทำสิ่งใด ไม่ควรกระทำในสิ่งใด สิ่งที่ว่านั้นมันมีผลดีต่อตนเอง/ ต่อครอบครัว/ ต่อผู้ที่เรามีความรักความห่วงใย/ ต่อผู้มีพระคุณของเรา ใช่หรือไม่เพียงไร สิ่งใดๆก็ตามที่เราได้ไตร่ตรองแล้ว เห็นว่า เป็นสิ่งที่จะก่อให้เกิดผลดีต่อตัวเราเอง/ เป็นสิ่งที่จะก่อให้เกิดผลดีต่อครอบครัวของเราเอง/ เป็นสิ่งที่จะก่อให้เกิดผลดีต่อผู้ที่เรามีความรักความห่วงใย/ เป็นสิ่งที่จะก่อให้เกิดผลดี ต่อผู้มีพระคุณของเรา นั่นแหละ ใช่เลย นั่นคือ สิ่งที่เราต้องลงมือทำทันที ไม่ต้อง ผัดวันประกันพรุ่งอีกต่อไป เราจะต้องเร่งเตรียมการ และ ดำเนินการในเรื่องนั้นๆโดยทันที ท่านจะได้ไม่ต้องมานั่ง มานอนเสียใจในภายหลัง กับวันเวลาสถานที่และบุคคลที่เกี่ยวข้อง ขอให้ท่าน เตือนสติตัวท่านเป็นประจำ และขอให้ท่านเตือนสติซึ่งกันและกันทุกวัน ตลอดเวลา ที่ 'วันนี้เรายังมีชีวิตอยู่ว่า เราควรทำอะไร เมื่อไร และ อย่างไร”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น