โดย...นักบวชปาซาน
ท่านผู้รู้ ท่านได้กล่าวเปรียบชีวิตมนุษย์ไว้อย่างน่าคิดเป็นปริศนาไว้ว่า
"โลกนี้เหมือนโรงละครโรงหนึ่ง มนุษย์นั้นเปรียบเหมือนกับตัวละคร
ความตายของมนุษย์ คือ การปิดฉากลงของการแสดงบทละคร"
ชีวิตของมนุษย์เรานั้นก็จะมีความเป็นไป
เหมือนกับนิยามที่ผู้รู้ท่านได้กล่าวไว้แล้วทุกประการ
ต่างคนต่างแสดงตามบทที่ได้รับมา แล้วแต่ใครจะรับบทอะไร
ใครจะแสดงได้ดี ตีบทแตก ถูกต้องตามบทหรือไม่
ก็จงเลือกแสดงไปตามบท ตามความสามารถของตนไป
จนกว่าละครเรื่องนั้นจะปิดฉากลง
จะเลือกแสดงโดยการเลือกเอาพระธรรมคำสั่งสอนเป็นผู้กำกับ
หรือว่าจะเลือกแสดงโดยเอากิเลสตัณหาเป็นผู้กำกับก็สุดแล้วแต่
แต่ว่าในที่สุดทุกๆบทละคร ทุกๆโรงละครก็ต้องปิดฉากลง
จะคงไว้เพียงแต่ความทรงจำของผู้ดู ผู้ชมเท่านั้น
มีอะไรบางสิ่งบางอย่างที่อยากจะบอกกับเพื่อนมนุษย์
ผู้ที่กำลังรับบทการแสดงละครอยู่นั้น ได้รับทราบไว้บ้างว่า
ละครที่เราแสดงอยู่นั้นมันก็มีตอนอวสาน มีตอนจบอยู่เหมือนกัน
อย่ามัวแต่แสดงละครจนลืมคิดว่า
ตอนอวสานได้ใกล้มาถึงแล้ว สำหรับละครเรื่องนี้ที่เราแสดงอยู่
"ชีวิตเราก็อวสานเป็นเช่นบทละคร"
น่าเป็นบทภาวนาที่ดีที่สุดสำหรับบทตัวละคร ทุกตัวที่กำลังแสดงละครอยู่
อยากให้ได้นำไปคิด ไปภาวนา
เผื่อว่าจะได้ช่วยให้การแสดงละครไม่เกิดผิดบทบาทที่กำลังแสดงอยู่
ว่าเราควรจะแสดงอย่างไรถึงจะถูกต้องดีงาม
จะได้เกิดประโยชน์แก่ผู้ชมได้บ้าง ไม่มากก็น้อย
อย่าต้องให้ผู้ที่ซื้อบัตรเข้าชม ต้องเสียเงิน เสียความรู้สึก เสียกำลังใจ
และเกิดความเบื่อหน่ายในที่สุด จนต้องลุกเดินหนี แล้วบ่นว่า
"น่าสงสารที่สุด" เหมือนหลายๆคนที่เคยประสบมา
วันนี้จึงขอนำเรื่อง
ชีวิตกับความตาย ที่เคยได้เขียนไว้เป็นหนังสือเล่มเล็กๆ
สำหรับไว้แจกในงานศพเมื่อหลายสิบปีแล้ว
มาเป็นธรรมปฏิสันถาร เป็นเรื่องแรกในเดือนนี้
อยากให้ทุกคนได้อ่าน
เผื่อว่าจะได้เป็นคู่มือสำหรับการแสดงบทละคร
ที่กำลังรับบทแสดงอยู่นั้นให้ได้มาตรฐานแห่ง
“ความสะอาด ความสว่าง ความสงบ” บ้าง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น