2554-07-31

ปรัชญาหมาขี้เรื้อน




ลูกชายนักธุรกิจใหญ่มีชื่อเสียงระดับประเทศคน หนึ่ง


เพิ่งสำเร็จการศึกษากลับมาจากเมืองนอก


ยังไม่ทันทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็ถูกผู้เป็นแม่ขอร้องให้บวชเรียนเสีย


ก่อน** **


เพื่อเห็นแก่แม่..บัณฑิตใหม่หมาดๆจากเมืองนอกจึงบวชอย่างเสียไม่ ได้** **






เมื่อบวชที่วัดใหญ่ในกรุงเทพฯแห่งหนึ่งเสร็จแล้ว** **


ผู้เป็นแม่จึงพาไปฝากให้จำพรรษาอยู่กับพระวิปัสสนาจารย์รูปหนึ่ง


ที่วัดป่าแถวภาคอีสาน** **


พระหนุ่มการศึกษาสูงมาจากตระกูลผู้ดีมีแต่ความสุขสบาย** **


เมื่อมาอยู่วัดป่ากว่าจะปรับตัวได้จึงใช้เวลานานเป็นแรมเดือน






แต่ก็นั่นแหละกว่าจะนิ่งก็ทำเอาพระร่วมวัดหลาย


รูปพลอยอิดหนาระอาใจไปตามๆกัน** **


ปัญหาที่ทำให้พระทั้งวัดเหนื่อยหน่ายจนนึกระอาก็เพราะพระใหม่มี


นิสัยชอบจับผิด* * **


และชอบอวดรู้ยกหู ชูหางตัวเองอยู่เป็นประจำ** **


วันแรกที่มาอยู่วัดป่าก็นึกเหยียดพระเจ้าถิ่นทั้งหลายว่าไม่ได้


รับการศึกษาสูงเหมือนอย่างตน


ออกบิณฑบาตได้อาหารท้องถิ่นมาก็ทำท่าว่าจะฉันไม่ลง * *


**







เห็นที่วัดใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าดแทนไฟฟ้าก็วิพากษ์วิจารณ์เสีย


เป็นการใหญ่หาว่าล้าสมัย** **


ไม่รู้จักใช้เทคโนโลยี่ ตอนหัวค่ำมีการทำวัตรสวดมนต์เย็นก็บ่นว่า** **






ท่านรองเจ้าอาวาสทำวัตรนานเหลือเกินกว่าจะสิ้นสุดยุติได้ก็นั่ง จนขาเป็นเหน็บชา






ครั้นพอถึงเวรตัวเองล้างห้องน้ำเข้าบ้างก็ทำท่าจะล้างอย่างขอไป


ทีล้างไปบ่นไป** **






ประเภทตูจบปริญญาโทมาจากเมืองนอกต้องมาเข้าเวรล้างห้องน้ำร่วมกับใครก็ไม่รู้**


**


โอ้ชีวิต! ความสำรวยหยิบโหย่งทำให้พระใหม่ไม่พอใจสิ่งนั้นสิ่งนี้ถือดี !** **


ว่าตัวเองมีชาติตระกูลสูง มีการศึกษาสูงกว่าใครในวัดนั้น** **


ผิวพรรณก็ดูสะอาดสะอ้านชวนเจริญศรัทธากว่าพระรูปไหนทั้งหมด** **


มองตัวเองเปรียบกับพระรูปอื่นแล้วช่างรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่า ทุกประตู** **


นึกแล้วก็ยิ้มกระหยิ่มอยู่ในใจ


กลับเข้ากุฏิเมื่อไหร่ก็เอาปากกามาขีดเครื่องหมายกากบาทบนปฏิทิน


นับถอยหลังรอวันสึกด้วยใจจดจ่อ** **






อยู่มาได้พักใหญ่พระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็สังเกตเห็นว่าท่านเจ้า


อาวาสวัดป่าแห่งนี้ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา ซ้ำนานๆครั้งจะออกมาให้


โอวาทกับลูกศิษย์เสียทีหนึ่ง** **






วันๆไม่เห็นท่านทำอะไรเอาแต่กวาดใบไม้เก็บขยะ** **


ซักผ้าเอง** (**เณรน้อยก็มีไม่รู้จักใช้) สอนก็ไม่สอน** **


การบริหารวัดก็มอบให้ท่านรองเจ้าอาวาสเป็นคน** **


จัดการไปเสียทุกอย่าง เห็นแล้วเลยนึกร้อนวิชา** **


เสนอให้ปรับโน่นลดนี่สารพัดที่ตัวเองเห็นว่าไม่เข้าท่าล้าสมัย** **


รวมทั้งให้เสนอให้วัดใช้ไฟฟ้าแทนตะเกียงด้วยอีกข้อหนึ่ง


เพราะตนเห็นว่ายุคสมัยก้าวไกลมามากแล้ว


ไม่ควรจะทำตนเป็นคนหลังเขาให้คนอื่นเขาดูถูก** **






อีกหนึ่งในข้อวิจารณ์จุดด้อยของวัดทั้งหลายเหล่านั้นพระใหม่เสนอ ให้** **


หลวงพ่อเจ้าอาวาสมีปฏิสัมพันธ์กับพระลูกวัดให้มากขึ้นกว่านี้**


! **สอนให้มากขึ้นเทศน์ให้มากขึ้น**


และแนะนำว่าคนระดับผู้บริหารไม่ควรจะทำงานอย่างการซักจีวรเอง


เป็นต้นด้วยตนเอง* * **


ควรจะกระจายอำนาจมอบ งานให้คนอื่นทำดีกว่า






เย็นวันนั้นเป็นวันพระสิบห้าค่ำ** **


หลวงพ่อเจ้าอาวาสมานั่งทำวัตรที่โบสถ์ธรรมชาติกลางลานทรายด้วย** **


ท่านไม่ลืมที่จะหยิบข้อเสนอแนะจากพระใหม่มาอ่านให้พระหนุ่ม สามเณรน้อย** **


ทั้งหลายฟังแต่ท่านไม่บอกว่าพระรูปไหนเป็นคนเขียน** **


อ่านจบแล้วหลวงพ่อก็ยิ้มอย่างมีเมตตาพลางหยิบไมโครโฟนขึ้นมา** **


แล้วชี้ให้ภิกษุหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายดูหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่ง** **


ที่นอนอยู่ใต้ม้าหินอ่อนตัวหนึ่ง จากใต้ต้นอโศกที่อยู่ใกล้ๆ **










เธอ ทั้งหลายเห็นหมาขี้เรือนตัวนั้นหรือไม่


เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันเป็นขี้เรื้อน* * **


คันไป ทั้งตัว ฉันเห็นมันวิ่งวุ่นไปมาทั้งวัน** **


เดี๋ยว ก็วิ่งไปนอนตรงนั้นเดี๋ยวก็ย้ายมานอนตรงนี้** **


อยู่ ที่ไหนก็อยู่ไม่ได้นานเพราะมันคัน แต่พวกเธอรู้ไหม** **


เจ้า หมาตัวนั้นน่ะมันไปนอนที่ไหนมันก็นึกด่าสถานที่นั้นอยู่ในใจ** **


หาว่า แต่ละที่ไม่ได้ดั่งใจตัวเองสักอย่าง นอนที่ไหนก็ไม่หายคัน** **



สถานที่เหล่านั้นช่างสกปรกสิ้นดี **






คิด อย่างนี้แล้วมันจึงวิ่งหาที่ที่ตัวเองนอนแล้วจะไม่คัน** **


แต่ หาเท่าไหร่มันก็หาไม่พบสักที** **


เลย ต้องวิ่ งไปทางนี้ทางโน้นอยู่ทั้งวัน


เจ้าหมาโง่ตัวนั้นมันหารู้สักนิดไม่ว่า** **


เจ้า สาเหตุแห่งอาการคันนั้นหาใช่เกิดจากสถานที่เหล่านั้นแต่อย่างใดไม่** **


แต่ สาเหตุแห่งอาการคันอยู่ที่โรคของตัวมันเองนั่นต่างหาก** **


พูดจบแล้วหลวงพ่อก็วางไมโครโฟนลงเป็นสัญญาณให้รู้ว่า** **


ได้เวลาภาวนาหลังการทำวัตรสวดมนต์เย็นแล้ว






ขณะที่ทุกรูปนั่งหลับตาภาวนาอย่างสงบนั้น** **


ในใจของพระใหม่กลับร้อนเร่าผิดปกติ นอกสงบ แต่ในวุ่นวาย** **


นึกอย่างไร** **ก็ มองเห็นตัวเองไม่ต่างไปจากหมาขี้เรื้อน**


**ที่หลวงพ่อชี้ให้ดู **


ยิ่ง นั่งสมาธินานๆ ยิ่งคันคะ เยอในหัวใจ ทั้งอายทั้งสมเพชตัวเอง**






นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาพระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็เปลี่ยนไปเป็นคน ละคน** **


จากคนพูดมากกลายเป็นคนพูดน้อย จากคนที่หยิ่งยโสกลายเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน** **


จากคนที่ชอบจับผิดคนอื่นกลายเป็นคนที่หันมาจับผิดตัวเอง


เมื่อออกพรรษาแล้วโยมแม่มาขอให้ลาสิกขาเพื่อกลับไปสืบต่อธุรกิจ


จากครอบครัวท่านก็ยังไม่ยอมสึก **






" **อาตมา เป็นหมาขี้เรื้อน** **


ขออยู่รักษาโรคจนกว่าจะหายคันกับครูบาอาจารย์ที่นี่อีกสักหนึ่ง พรรษา"** **


โยมแม่ได้ฟังแล้วก็ได้แต่ยกมืออนุโมทนาสาธุการกราบลาพระลูกชาย** **


แล้วก็เดินออกจากวัดไปขึ้นรถพลางนึกถามตัวเองอยู่ในใจว่าคำว่า** **


หมาขี้เรื้อน ของพระลูกชายหมายความว่าอย่างไรกันแน่หนอ **






ถ้า เรายังเป็นโรคอยู่ในใจ ไม่พอใจอะไรซักอย่าง เงินเดือนน้อย


หน้าที่การงานไม่พัฒนา ตำแหน่งไม่ไปไหน** **


ไม่ ว่าเราย้ายงานไปที่ไหน เราก็ไม่พอใจ สถานที่เหล่านั้นไม่ดี


คนไม่ได้เรื่อง ทั้ง ๆ ที่เราไม่เคยได้ดูตัวเองเลยว่า** **


เรา พัฒนาการทำงานของเรามั้ย ขวนขวายหาความรู้หรือเปล่า


ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับหมาขี้เรื้อนตัวนั้นเลย **




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

2leep.com