2554-07-31

ปรโลกไม่ไกลเกินคิด

 
บทความโดยอาจารย์บรรจง บินกาซัน ประธานโครงการอบรมผู้สนใจอิสลาม มูลนิธิสันติชน



สาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้มนุษย์กระทำความชั่วก็คือ มนุษย์ปฏิเสธเรื่องความรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเองในชีวิตโลกหน้าเพียงเพราะตามองไม่เห็น

นี่คือเหตุผลที่ว่า ทำไมศาสดาที่พระเจ้าส่งมายังโลกนี้จึงตักเตือนมนุษย์ว่า ความตายมิใช่จุดสุดท้ายของชีวิต แต่ความตายเป็นเพียงประตูที่เปิดให้วิญญาณของมนุษย์เดินทางต่อไปในโลกหลังความตายเท่านั้น

เมื่อวันสิ้นโลกมาถึง ทุกชีวิตจะถูกฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อรับการพิพากษาจากพระผู้เป็นเจ้า หลังจากนั้นชะตากรรมของมนุษย์จะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับการกระทำของมนุษย์ขณะที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้

แม้คำสอนดังกล่าวจะเป็นการแสดงออกถึงความรักและความหวังดีของพระผู้เป็นเจ้า แต่มนุษย์ผู้ใช้อารมณ์เป็นมัคคุเทศก์นำทางชีวิตของตัวเอง มักจะปฏิเสธเรื่องการฟื้นคืนชีพหลังความตาย โดยเห็นว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งไร้สาระ ด้วยเหตุนี้พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงถามมนุษย์ว่า

“มนุษย์คิดหรือว่าเราไม่สามารถที่จะนำกระดูกของเขามารวมเข้าด้วยกัน? ทำไมเราจะทำไม่ได้? เรามีอำนาจที่จะทำให้ปลายนิ้วมือของเขากลับมามีความสมบูรณ์ได้ดังเดิมอีก แต่มนุษย์นั้นต้องการที่จะทำความชั่วต่อไป” (กุรอาน 75:3-5)

การทำให้ร่างกายของมนุษย์ที่ยุ่ยสลายกลายเป็นธุลีดินกลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยาก ถ้าเราตรึกตรองถึงปรากฏการณ์น้ำในมหาสมุทรที่ถูกแสงแดดแผดเผากลายเป็นไอลอยขึ้นไปรวมกันเป็นก้อนเมฆ หลังจากนั้นเมื่อกระทบกับความเย็นก็ตกลงมาเป็นน้ำอีกครั้งหนึ่งในรูปของฝน

จากคัมภีร์กุรอานดังกล่าวข้างต้น ในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ มนุษย์จะถูกทำให้มีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งในสภาพเดิมอย่างสมบูรณ์ แม้แต่ปลายนิ้วของเขาที่มีลายนิ้วมือเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง

คัมภีร์กุรอานดังกล่าวข้างต้นถูกประทานแก่นบีมุฮัมมัดเมื่อประมาณ 1,400 ปีที่แล้ว เพื่อบอกถึงความจริงแห่งชีวิตในโลกหน้าซึ่งสายตามองไม่เห็น ในยุคนั้นมนุษย์ยังไม่มีความรู้เรื่องลายนิ้วมือที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละคน

แต่ใน ค.ศ. 1800 การพิมพ์ลายนิ้วมือได้กลายเป็นวิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการใช้ระบุตัวบุคคลหลังจากที่เซอร์ฟรานซิส โกลท์ (Sir Francis Golt) ค้นพบว่า มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้มีลายนิ้วมือไม่ตรงกัน นี่คือเหตุผลว่าทำไมตำรวจทั่วโลกจึงใช้ลายนิ้วมือเป็นหลักฐานระบุตัวอาชญากรเพื่อนำตัวมาลงโทษ

การหลีกเลี่ยงการพิพากษาของพระเจ้าในโลกหน้าจึงไม่อาจเป็นไปได้

ในวันแห่งการพิพากษา มนุษย์จะถูกฟื้นคืนชีพขึ้นมาในสภาพเดิมโดยมีเนื้อมีหนัง ก็เพื่อที่จะให้มนุษย์ที่ทำชั่วได้รู้สึกถึงบทลงโทษอันแสนสาหัสและมนุษย์ที่ทำดีได้สัมผัสกับความสุขจากการตอบแทนความดี

ในคัมภีร์กุรอาน 4:56 มีดำรัสจากพระผู้เป็นเจ้าว่า

“แท้จริง บรรดาผู้ปฏิเสธสัญญาณทั้งหลายของเรานั้น เราจะโยนพวกเขาเข้าไปในไฟ เมื่อใดที่ผิวหนังของพวกเขาไหม้เกรียม เราจะเปลี่ยนผิวหนังใหม่ให้แก่พวกเขาเพื่อที่พวกเขาจะได้ชิมการลงโทษอย่างเต็มที่ แท้จริง อัลลอฮฺเป็นผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงปรีชาญาณเสมอ” 

ในอดีต ผู้คนเข้าใจว่าสมองเท่านั้นที่ทำหน้าที่รับความรู้สึกและความเจ็บปวด แต่การค้นพบเมื่อเร็วๆนี้ได้พิสูจน์ว่า ในผิวหนังของมนุษย์นั้นมีประสาทรับความรู้สึกเจ็บปวดอยู่ ถ้าไม่มีประสาทตรงนี้ มนุษย์ก็จะไม่รู้สึกเจ็บปวด

การค้นพบดังกล่าวเกิดขึ้นจากการที่แพทย์คนหนึ่งได้ตรวจคนไข้ที่บาดเจ็บจากการถูกไฟไหม้ โดยการใช้เข็มจิ้มลงไปบนผิวหนังเพื่อตรวจสอบระดับของการถูกไฟไหม้ ถ้าหากคนไข้รู้สึกเจ็บ แพทย์ก็โล่งใจ เพราะนั่นเป็นสิ่งที่แสดงว่าแผลส่วนที่ถูกไฟไหม้ยังไม่สาหัส เพราะประสาทรับความรู้สึกยังคงอยู่ในสภาพดี แต่ถ้าคนไข้ไม่รู้สึกเจ็บปวด นั่นก็หมายความว่าผิวหนังได้ถูกไฟไหม้ลึกจนถึงขนาดประสาทรับความรู้สึกได้ถูกทำลายแล้ว

ข้อความจากคัมภีร์กุรอานดังกล่าวบอกให้เราทราบว่า หากมนุษย์คนใดถูกไฟนรกเผา เขาจะรู้สึกทรมานจากความปวดแสบปวดร้อน แม้ผิวหนังจะถูกไฟไหม้จนประสาทรับความรู้สึกตายไปแล้ว แต่ผิวหนังใหม่ก็จะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้รับความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนต่อไป

อย่าคิดว่านรกในปรโลกเป็นเรื่องล้อเล่น คำสอนของศาสนาเป็นความจริง ยิ่งวิทยาศาสตร์มีความเจริญก้าวหน้ามากเพียงใด วิทยาศาสตร์ก็ยิ่งยืนยันความจริงจากคำสอนของศาสนามากขึ้นเท่านั้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

2leep.com