จอห์น เลนนอน ( 9 ตค. 1940- 8 ธค. 1980 ) เป็นนักร้อง นักประพันธ์เพลงชาวอังกฤษ ซึ่งได้รับการตอบรับสูงที่สุดผู้หนึ่ง ขณะเดียวกัน เขาก็มีบทบาทสำคัญ ในการใช้เสียงเพลง ขับเคลื่อนการต่อต้านสงคราม
เลนนอนเป็นสมาชิกก่อ ตั้งของวง เดอะบีตเติ้ลส์ และ ร่วมกับ พอล แมคคาร์ตนีย์ เป็นคู่หูร่วมประพันธ์เพลงยิ่งใหญ่แห่งยุคมากมาย
ภายหลังแยกตัวจากวงเดอะ บีตเติ้ลส์ใน ปลายปี 1969 เขาเริ่มชีวิตศิลปินเดี่ยว โดยยังคงมีผลงานที่สร้างความสำเร็จออกมาอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญ ได้แก่ Imagine, Give Peace a Chance และ “Happy Xmas (War Is Over)”
ภายหลังแยกตัวจากวงเดอะ บีตเติ้ลส์ใน ปลายปี 1969 เขาเริ่มชีวิตศิลปินเดี่ยว โดยยังคงมีผลงานที่สร้างความสำเร็จออกมาอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญ ได้แก่ Imagine, Give Peace a Chance และ “Happy Xmas (War Is Over)”
ในคืนวันที่ 8 ธค. เลนนอน ถูก มาร์ค แชพแมนยิง ขณะเดินกลับเข้าที่พักของตน เขาเสียชีวิต เมื่อถูกส่งตัวถึงโรงพยาบาล
ภาพ วาด จำลองสถานการณ์ ขณะคนร้ายลอบยิง จอห์นเลนนอน
เพียง 3 วันก่อนที่จอห์น เลนนอน จะถูกยิงเสียชีวิตในวันที่ 8 ธค. 1980 เขากล่าวเปรยๆคำกล่าวของนักวิจารณ์ที่ว่า พวกเขาสนใจเพียงแค่ “วีรบุรุษผู้ล่วงลับ” และพูดถึงครอบครัวของตนและอนาคตในแง่ดี และเฝ้าครุ่นคิดถึง “เวลาอีกมากมาย” ที่จะบรรลุเป้าหมายของชีวิตในอนาคตข้างหน้า
นิตย สารโรลลิ่ง สโตน ได้เปิดเผยบทสัมภาษณ์ของเลนนอนครั้งสุดท้าย ให้กับสำนักข่าวเอพี เมื่อวันพุธที่ผ่านมา เนื่องในโอกาสครบรอบการเสียชีวิตของเขาครบ 30 ปี ในขณะที่บทสัมภาษณ์แบบเต็มจะมีการเผยแพร่ในนิตยสาร ซึ่งจะวางแผงในวันที่ 10 ธค.นี้
โจนาธาน คอตต์ ผู้สัมภาษณ์เลนนอนในครั้งนั้น กล่าวว่า “คำพูดของเขามีน้ำเสียงที่ดูมีความสุข มีชีวิตชีวา มีความหวัง และหาญกล้า-เขาไม่พูดอ้อมค้อมเลย”
เลนนอนกล่าวถึงนักวิจารณ์ ซึ่งแสดงความผิดหวังอย่างต่อเนื่อง ต่อการเลือกเส้นทางเดินของเขา ทั้งด้านชีวิตส่วนตัวและชีวิตการงานอย่างแข็งกร้าว หลังจากที่เขาออกจากวง “เดอะ บีเทิลส์”
“นัก วิจารณ์พวกนั้นสร้างภาพลวงตาเกี่ยวกับตัวศิลปินขึ้นมาเอง อย่างกับว่าพวกเขาเป็นไอดอล” เลนนอนกล่าว “พวกเขาชื่นชอบเฉพาะคนที่มีหนทางเดินในวงการ แต่ผมไม่สามารถเดินตามทางเส้นนั้นได้อีกต่อไป”
“สิ่งที่พวกเขาต้องการก็คือ “วีรบุรุษผู้ล่วงลับ” อย่างเช่น “ซิด วิเชียส” และ เจมส์ ดีน” ผมเองไม่สนใจที่จะเป็น “วีรบุรุษ(กล่าวสบถ)ผู้ล่วงลับ งั้นก็ลืมไปได้เลย ลืมไปเลย”
นอกจากนั้น เขายังทำนายว่า “บรู๊ซ สปริงสทีน” ผู้ซึ่งมีอนาคตสดใสในวงการเพลงร็อคในขณะนั้น ให้อดทนต่อคำวิพากษ์วิจารณ์เช่นเดียวกับที่เขาเผชิญอยู่ “ขอได้โปรดให้พระเจ้าจงช่วยคุ้ม ครองสปริงสทีน ในยามที่เขาไม่ได้เป็นพระเจ้าแล้วเถอะ… เขาจะต้องโดนแน่ และผมหวังว่าเขาจะรอดมันมาได้”
เลนนอน ยังพูดถึงความพยายามในการเป็นพ่อที่ดี ต่อลูกชายคนเล็กของเขา คือ “ฌอน” เรียนรู้ที่จะผูกสัมพันธ์กับเด็กๆ (เขายอมรับว่าตนเองเล่นกับเด็กไม่เป็น) และกล่าวถึงความสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างเขาและโยโกะ โอโนะ: “ผมเลือกที่จะทำงานกับคนเพียงสอง คนเท่านั้นคือ พอล แม็คคาร์ทนีย์ และโยโกะ โอโนะ… ผมเลือกไม่ผิดแน่”
ในวัย 40 ปี เขายังสะท้อนถึงที่เขาเคยได้ทำมาก่อนหน้านี้ในชีวิต และค้นหาแก่นสารที่แท้จริงของชีวิต และยังคงยึดมั่นต่อแนวทางในการบรรลุเป้าหมายเพื่อสร้างสันติภาพและความรัก ให้เกิดขึ้นกับโลก
“ผม จะไม่อ้างตัวเองว่าเป็นเทพเจ้า ผมไม่เคยอ้างว่าตัวเองมีจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์ ผมไม่เคยอ้างว่ามีคำตอบให้กับชีวิตในทุกเรื่อง ผมแค่ทำเพลง เพื่อที่จะตอบคำถามอย่างสัตย์จริงเท่าที่จะทำได้ แต่ผมยังคงเชื่อในสันติภาพ ความรัก และความเข้าใจ”
โจนาธาน คอตต์ สัมภาษณ์เลนนอน ทั้งที่อพาร์ทเมนท์ และที่สตูดิโอของเขา เดิมทีเดียวบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้ จะใช้ประกอบบทความเกี่ยวกับอัลบั้ม “ดับเบิล แฟนตาซี” ของเขาและโอโนะ แต่หลังจากการเสียชีวิตของเขา บทความชิ้นนี้บางส่วนได้ถูกนำไปเผยแพร่เพื่อเป็นการไว้อาลัยแก่เขา
คอตต์ กล่าวว่า นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ครั้งนั้น เขาไม่เคยกลับไปฟังเทปสัมภาษณ์ความยาว 3 ชั่วโมงชิ้นนั้นอีกเลย จนกระทั่งสองสามเดือนที่ผ่านมาขณะที่เขากำลังทำความสะอาดตู้เสื้อผ้า เขาก็ได้พบมันโดยบังเอิญ
“น่าประหลาดใจมาก กับแถบบันทึกเสียง ซึ่งไม่ได้รับการบูรณะมาเกือบ 30 ปี เสียงของเลนนอนยังคงมีชีวิต ทำให้ผมรู้สึกมีแรงบันดาลใจที่จะถอดข้อความทั้งหมดอีกครั้ง”
คอตต์ กล่าวว่า เขารู้สึกสะดุดกับสิ่งที่เลนนอนคิดถึงเกี่ยวกับชีวิตและความตาย “มีความครุ่นคิดมากมายเกิดขึ้นกับเลนนอน ว่าเขากำลังอยู่ที่ไหน และเขารู้สึกอย่างไร ในระหว่างการเดินทางครั้งใหม่นี้” คอตต์กล่าว “ผมคิดว่ามันเหมือนกับ “การเพ่งพิจารณา ชีวิตในช่วงวัยกลางคน” และผมก็รู้สึกสะดุดกับมันมาก”
นอกจากนั้น ยังมีบทความของโอโนะ ซึ่งกล่าวถึงช่วงชีวิตในวันสุดท้ายระหว่างเธอและเลนนอนอีกด้วย โดยเธอกล่าวว่า เธออุทิศบทความนี้ให้กับเลนนอน
“แค่เพียงก่อนที่เราจะออกจากสตูดิโอ (ไม่กี่นาทีก่อนเขาเสียชีวิต) จอห์นมองที่ฉัน” โอโนะกล่าว “ฉันมองเขา ดวงตาของเขาดูเอาจริงเอาจังมากเหมือนกำลังจะบอกสิ่งที่สำคัญกับฉัน “ว่าไง” ฉันถาม และฉันจะไม่มีวันลืมน้ำเสียงอันลุ่มลึก อ่อนโยน คล้ายกับว่าเขากำลังจะเสกสรรค์คำพูดในจิตใจของฉัน เขากล่าวสิ่งที่สวยงามที่สุดต่อฉัน “โอ้” ฉันกล่าวหลังจากนั้นเพียงชั่วครู่ และเบนสายตาออกไป รู้สึกเขินอายเล็กน้อย”
“ในช่วงเวลา แห่งการครบรอบความโศกานี้ โปรดร่วมรำลึกถึงจอห์นกับฉัน ด้วยความรักอันสุดซึ้งและความเคารพ” โอโนะกล่าว “ในช่วงชีวิต 40 ปีอันแสนสั้นนี้ เขาได้มอบสิ่งต่างๆมากมายให้แก่โลก ช่างโชคดีที่โลกได้รู้จักเขา แม้วันนี้เราก็ยังคงได้เรียนรู้อะไรๆจากเขา…จอห์น ฉันรักคุณ”
การเสียชีวิตของ John Lennon
วันที่ 8 ธันวาคม 1980 ช่วงบ่ายขณะที่จอห์น เลนนอน อยู่ในสตูดิโอเพื่อกำลังเตรียมตัวอัดเพลงใหม่ ก็มีชายคนนึ่งชื่อว่า Mark Chapman (มาร์ค แชปแมน) ถือกระดาษกับปากกายืนให้จอห์น เลนนอน แล้วพูดว่า”ฉันจะมีลายเซ็นของคุณเป็นที่ระลึกได้ไหม?”จอห์นจึงเซ็นลายเซ็น ของเขาให้แล้วก็ไป ทำงานต่อ
คืนนั้นจอห์นกับโยโกะก็มาอยู่ที่ หน้าอพาร์ตเมนต์ของเขา เขาก็พบmark chapmanคนที่มาขอลายเซ็นเขานั้นเองแต่คราวนี้ในมือเขาไม่ใช่ปากกากับกระดาษ แต่เป็นปืน
มาร์คพูด ว่า “คุณเลนนอน!!” แล้วเขาก็ยิงจอห์นไปห้านัด จอห์นเสียชีวิตทันทีด้วยวัย 40 ปี 3 นาทีต่อมา ตำรวจมาถึงอพาร์ตเมนต์ มาร์คยังอยู่ตรงนั้นเขาพูดกับตำรวจว่า”ฉันนี้แหละที่ยิงจอห์น เลนนอน
จอห์นถูกสังหาร กลางกรุง New York ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองและสังคมในกลียุคที่สงครามมีทุกหนแห่งนัก แต่งเพลง นักร้องนำ จอห์นและเพื่อนๆวงเดอะบีทเทิ้ลดังเป็นพลุแตก เพลงขายดีถล่มทลายทุกชุด ในยุคสาวกรี๊ด เรื่อยจนมาถึงยุคออกอัลบั้มเดี่ยว เพลงดังอย่าง Imagine, Give Peace a Chance แห่งยุคที่เขาเรียกร้องสันติภาพผ่านบทเพลงที่เปลี่ยนพลังของแฟนเพลงเป็นพลัง ต่สู้ทางการเมือง
ทำให้นักการเมืองสั่ง FBI เฝ้าจับตามองจอห์นทุกย่างก้าวถึงขั้นดักฟังโทรศัพท์ นั่นเพราะจอห์นประสบความสำเร็จในการกดดันทางการเมืองครั้งแล้วครั้งเล่าผ่าน บทเพลงที่ง่าย ตรง จริงใจ และดนตรีที่ติดหู เพลงของเขาถูกแบนด์ ไม่ให้เปิดทางวิทยุ อย่าง “Woman Is the Nigger of the World” ที่เขาต้องการสื่อสารว่า ในขณะที่คนเรียกร้องความเท่าเทียมของคนผิวดำในบางประเทศ แต่ว่าผู้หญิงทั่วโลกกลับไม่มีสิทธิเท่าเทียมผู้ชาย (1972)
วันที่ 8 ธคนี้ เป็นวันครบรอบวันตาย มีการจัดงานรำลึกขึ้นทุกปีที่สตรอเบอรี่ฟีลด์ หลุมศพของจอห์น ที่มีแฟนนำดอกไม้ เทียน และของที่ระลึกไปวางแน่นขนัดทุกปีเสมอมา ปีนี้ก็ไม่ต่างจากปีอื่น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น