ขณะที่นักวิทยาศาสตร์ยังคงมะงุมมะงาหราหาต้นกำเนิดที่มาของมนุษย์อยู่นั้น คัมภีร์กุรอานได้บอกเล่าเรื่องราวการสร้างมนุษย์ไว้อย่างน่าสนใจและให้แง่คิดว่า พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์มาจากดิน ดินซึ่งคัมภีร์กุรอานกล่าวไว้ถึงสามลักษณะด้วยกันว่า ถ้าหากเอาน้ำใส่เข้าไปก็จะกลายเป็นโคลนและถ้าทิ้งไว้ให้แห้งมันก็จะแข็งตัวจนสามารถทำให้เกิดเสียงได้
สิ่งที่คัมภีร์กุรอานกล่าวไว้ไม่ได้ขัดกับความจริงเลย เมื่อมนุษย์ตาย ร่างกายของมนุษย์ก็จะถูกยุ่ยสลายกลายเป็นดินอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งถ้าหากจะเอาดินมาสังเคราะห์ทางเคมีแล้วก็จะพบว่าเนื้อหนังมังสาของมนุษย์ก็มีแร่ธาตุและสารประกอบต่างๆที่มีอยู่ในดินเช่นกัน
จากดินธรรมดาที่มนุษย์เดินเหยียบย่ำอยู่บนโลกใบนี้เองที่พระเจ้านำมาใช้สร้างมนุษย์ แต่ก่อนจะลงมือสร้าง พระองค์ได้ประกาศให้บ่าวและบริวารในอาณาจักรของพระองค์ได้รู้ว่าพระองค์จะสร้างมนุษย์ขึ้นมาเป็นตัวแทนของพระองค์บนหน้าแผ่นดิน เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทูตสวรรค์ที่เป็นบริวารรับใช้จึงได้ทูลถามว่า “พระองค์จะสร้างผู้ก่อความเสียหายและหลั่งเลือดบนหน้าแผ่นดินกระนั้นหรือ?”
คำทูลถามของทูตสวรรค์มิได้มีเจตนาจะคัดค้าน แต่เป็นคำถามที่เหมือนกับทูตสวรรค์จะรู้ว่าที่ไหนมีมนุษย์ ที่นั่นก็จะมีความเสียหายและการหลั่งเลือดกัน จริงหรือไม่ เราก็เห็นกันอยู่
อย่างไรก็ตาม เมื่อพระผู้เป็นเจ้าทรงตัดสินใจที่จะสร้างมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ทรงสร้างมนุษย์คนแรกขึ้นมาในอาณาจักรของพระองค์โดยการเป่าวิญญาณของพระองค์เข้าไปในดินที่พระองค์ทรงใช้สร้างมนุษย์ ดินที่ไร้ค่าจึงบังเกิดขึ้นมาเป็น “อาดัม” ในบัดดล
การเป่าวิญญาณของพระองค์เข้าไปในดินก็คือ การถ่ายทอดคุณสมบัติบางส่วนของพระองค์ให้แก่มนุษย์ เช่น พระองค์ทรงเห็นและทรงได้ยิน พระองค์ก็ทรงให้มนุษย์มีตาและมีหูเพื่อการมองเห็นและการได้ยิน เพียงแต่ว่าความสามารถในการมองเห็นและได้ยินของมนุษย์นั้นไม่อาจเทียบเท่ากับพระองค์ได้ นอกจากนี้แล้วพระองค์ยังเป็นผู้ทรงเมตตาและผู้ทรงให้อภัย ดังนั้น พระองค์ก็ประทานคุณสมบัติดังกล่าวนี้ให้เป็นธรรมชาติติดตัวมนุษย์มา ทั้งนี้ เพื่อให้มนุษย์ได้ใช้ในฐานะตัวแทนของพระองค์และพระองค์จะทรงดูว่ามนุษย์จะใช้คุณสมบัติที่ได้รับมาหรือไม่ หรือจะใช้ไปอย่างไร
หลังจากประทานชีวิตและความสามารถแก่อาดัมแล้ว พระองค์ก็ทรงสอนความรู้ทุกอย่างให้แก่อาดัม เพื่อที่อาดัมจะได้นำความรู้และความสามารถไปใช้ประโยชน์ในการเป็นตัวแทนของพระองค์บนหน้าแผ่นดิน ด้วยเหตุนี้เราจึงได้เห็นมนุษย์ผู้เป็นลูกหลานของอาดัมมีความรู้มากมายจนสามารถสร้างอารยธรรมความเจริญขึ้นบนโลกใบนี้ได้อย่างน่าทึ่ง
เมื่อสอนความรู้ให้แก่อาดัมแล้ว พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงบัญชาทุกสรรพสิ่งในอาณาจักรของพระองค์ให้กราบสยบนบนอบต่ออาดัม นั่นหมายความว่านับแต่นี้ไป ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องอยู่ใต้อำนาจความรู้ความสามารถของอาดัม ดังนั้น ปัจจุบันเราจึงได้เห็นว่ากระแสน้ำอันเชี่ยวกรากในแม่น้ำได้ถูกมนุษย์บังคับให้ไหลไปตามคลองชลประทานเพื่อหล่อเลี้ยงพื้นที่เกษตรกรรมและพลังของกระแสน้ำได้ถูกนำมาใช้ในการสร้างกระแสไฟฟ้าป้อนสู่ภาคอุตสาหกรรม
คัมภีร์กุรอานกล่าวต่อไปว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในอาณาจักรของพระเจ้าล้วนยอมสยบนบนอบต่ออาดัม ยกเว้น “อิบลีส” หัวหน้าเผ่าพันธุ์ญินเท่านั้นที่ไม่ปฏิบัติตาม เมื่อถูกพระเจ้าถามว่าทำไมจึงกล้าโอหังปฏิเสธคำบัญชา มันตอบอย่างโอหังว่า “อาดัมถูกสร้างมาจากดิน แต่ฉันถูกสร้างมาจากไฟ เรื่องอะไรที่ฉันจะต้องกราบสยบนบนอบต่ออาดัม”
ความโอหังถือดีว่าชาติพันธุ์ของตัวเองเหนือกว่าผู้อื่น จนกล้าฝืนคำบัญชาของพระเจ้านี้เองที่ทำให้มันต้องถูกลงโทษซึ่งมันก็รู้ดี แต่มันได้ขอต่อพระเจ้าให้ผ่อนผันการลงโทษไว้ก่อนจนกว่าจะถึงวันสิ้นโลกและมันขอหลอกลวงลูกหลานของอาดัมตลอดไป เพื่อที่มันจะพิสูจน์ให้พระองค์ได้เห็นว่าลูกหลานของอาดัมหรือมนุษย์นั้นมีน้อยคนนักที่จะกตัญญูต่อพระองค์
เมื่ออิบลีสได้รับอนุญาตให้หลอกลวง แต่ไม่มีอำนาจบังคับมนุษย์ให้เชื่อมัน มันก็คอยจ้องหาทางล่อลวงอาดัมและฮาวา (อีฟ) นับตั้งแต่นั้นมา
เนื่องจากอาดัมและฮาวาถูกห้ามเข้าใกล้ต้นไม้ต้นหนึ่ง อิบลีสจึงหลอกลวงทั้งสองว่าสาเหตุที่พระเจ้าห้ามเข้าใกล้ต้นไม้ต้นนั้นก็เพราะเกรงว่าทั้งสองจะกินผลไม้จากต้นไม้นั้นและจะมีชีวิตนิรันดร ทั้งสองหลงเชื่อจึงเข้าใกล้ต้นไม้ต้องห้ามและฝ่าฝืนคำบัญชาของพระองค์ด้วยการกินผลไม้เข้าไป นี่เป็นครั้งแรกที่มนุษย์ฝ่าฝืนคำสั่งของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้อาดัมและฮาวาจึงถูกส่งมายังโลกนี้โดยมีอิบลีสติดตามมาด้วย แต่ก่อนที่จะถูกส่งมายังโลกนี้ อาดัมและฮาวาได้ถูกเตือนว่าอิบลีสหรือมารร้ายจะเป็นศัตรูของทั้งสองตลอดไปจนถึงวันสิ้นโลก
กรณีฝ่าฝืนคำบัญชาของพระเจ้าโดยอิบลีสเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อให้อาดัมรู้ว่าการฝ่าฝืนพระเจ้าจะต้องได้รับการลงโทษ อิบลีสมีวิธีการหลอกลวงสารพัดและทันสมัยยิ่งขึ้นตามวิวัฒนาการความเจริญของมนุษย์ แต่มันไม่มีอำนาจบังคับมนุษย์ให้คล้อยตามมัน ในฐานะที่มนุษย์ได้รับสติปัญญา ได้รับศาสนาที่บอกให้รู้ว่า อะไรผิดอะไรถูกและได้รับเสรีภาพในการเลือก
ดังนั้น มนุษย์จะต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองเลือกทำลงไป
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 5 ฉบับที่ 230 วันที่ 24-30 ตุลาคม พ.ศ. 2552 หน้า 26 คอลัมน์ สันติธรรม โดย บรรจง บินกาซัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น