พระกิตติศักดิ์ กิตฺติโสภโณ
"...ร่างนั้นทอดเหยียดอยู่ในโลงไม้แคบ ๆ ใบหน้าสวยได้รูปดูซีดขาว ดวงตาหลับสนิท ริมฝีปากที่เคยช่างเจรจาคล้ายจะแย้มยิ้ม... ใครจะคิด ว่าหลังพูดคุยกันเมื่อไม่กี่วันก่อน บัดนี้ 'ความตาย' กลับพรากเธอให้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ..."
หากข้อความข้างต้นอยู่ในหน้าหนังสือ หรือเพียงเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตอย่างผิวเผิน ในที่สุดไม่นานนัก เราก็อาจลืม หรือเลือนภาพที่เห็น (และเรื่องราวอันน่าสะเทือนใจ) ได้ในไม่ช้า
ด้วยว่า เรื่องดังกล่าว เราคล้ายไม่เกี่ยวข้อง และปราศจากส่วนได้ส่วนเสียใด ๆ กับการที่ 'ตัวละคร' หรือ 'ใครสักคน' จะตายไปจากโลก...
ด้านหนึ่งความตายใกล้ชิดกับเราในฐานะเป็นสิ่งมีชีวิต
อีกด้านหนึ่ง "ความตาย" ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องผูกพัน ก็ใช่ว่าจะทำให้รู้สึกหวั่นไหว มากไปกว่าสิ่งกระทบใจชั่วครู่ยาม
แม้ความตายจะติดตามทุกชีวิต ดั่งผูกยึดไว้ด้วยโยงใยอันไม่สามารถตัดขาด แต่ลึกลงไปในจิตใต้สำนึก อาจมี 'บางสิ่ง' คอยสนับสนุนให้เราปฏิเสธ หรือหลบเลี่ยง 'ความตาย' อยู่ในที
เราจึงต่างดิ้นรนขวนขวายต่อการ "ยังชีพ" ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม
แม้ว่าจะเป็นภาระหนัก เหน็ดเหนื่อย หรือเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานก็ตาม
ดูเหมือนว่า "ความสุข" ที่หลายคนปรารถนาอย่างไม่มีสิ้นสุด เมื่อสำรวจลึกลงไปแล้ว ก็คือการหนีห่างจากเงื่อนไขที่นำไปสู่ "ความทุกข์" "ความสูญเสีย" อันมี "ความตาย" เป็นที่สุดนั่นเอง
โดยนัยนี้ ความตาย ดั่งหนึ่งจะอยู่ ณ อีกด้าน หรือตรงกันข้ามกับขั้วของ ความสุข
แต่โดยข้อเท็จจริงแล้ว ชีวิต หมายถึง 'ความสุข' กระนั้นหรือ ?
เป็นไปได้หรือไม่ว่า ภายใต้ทุกข์ยากและรันทดท้อในความมีชีวิต มนุษย์ยังเชื่อมั่นอยู่ในที ว่าตนสามารถแสวงหาความสุขได้ หากตนยังมี "ชีวิต" อยู่ ทั้งยังหวาดหวั่นและไม่มั่นใจต่อ "ความตาย" ว่าถึงที่สุดแล้ว จะนำตนไปสู่ที่ใด
และ เป็นไปได้หรือไม่ว่า นั่นอาจเป็นเพียงแรงจูงใจที่คอยกระตุ้นเร้า เพียงให้เรา "หนีตาย" โดยปราศจากความจริงใด ๆ รองรับ ทำนองที่ว่า เมื่อหมดแรงหนี ก็พบว่าไม่มีสิ่งใดต้องกลัวอีกเลย...
หลายยุคหลายสมัย มนุษย์แสวงหาความจริง ของ ชีวิตและความตาย ผ่านหลายมุมมองและหลากวิธีการ ทั้งวิทยาศาสตร์ ปรัชญา ศาสนา ฯลฯ หรือกระทั่งศิลปะและวรรณกรรม
"ผู้รู้" พร่ำพรรณนา อธิบาย และสรุป สิ่งที่ตน "เชื่อ" และ "ค้นพบ" ครั้งแล้วครั้งเล่า ยุคแล้วยุคเล่า น่าประหลาดที่ ความจริงอันสำคัญและใกล้ชิดกับชีวิตของมนุษย์เป็นอย่างยิ่งนี้ กลับหาข้อยุติโดยรวมไม่ได้
แต่ละสาขาของ ความรู้ - ความเชื่อ ยังมีความแปลกแยกและแตกต่าง อย่างแทบมิอาจแสวงหาจุดร่วมใด ๆ
ลึกลงไปในแต่ละแขนง กลับมีแง่มุมแยกย่อยออกไปให้ศึกษาและปฏิบัติอย่างนับแนวทางไม่ถ้วนทั่ว
หากคุณเป็นผู้ใคร่ต่อการแสวงหา ชั่วชีวิตหนึ่ง อาจไม่สามารถค้นพบความจริงของการ 'มีอยู่' และ 'จากไป' ได้รอบด้าน ทั้งนี้ มิจำเป็นต้องกล่าวถึง ความ 'ครบถ้วน' ทั้งโดยคุณภาพและปริมาณ
ศาสดาจำนวนมาก จึงชี้ทางอัน "เพียงพอ" ต่อการเป็น 'มนุษย์' ยิ่งกว่าความ "ครบครัน" อันผู้คนจำนวนมากพากันค้นหา
น่าเสียดาย ที่ส่วนใหญ่ "ความคิด" มักมีมากกว่า "ความจริง" และ "ความจริงอันเพียงพอ" มักด้อยรสชาติกว่าความอยากรู้อยากเห็นเสมอ...
บ้างกล่าวถึงความตายว่าเป็นความสูญเสีย บ้างกล่าวว่าเป็นความเปลี่ยนผ่าน บ้างกล่าวว่าตายแล้วเกิด และบ้างก็กล่าวว่า คือ การเดินทางกลับ สู่ดินแดนที่จากมา...
วันแล้ววันเล่า ที่ทัศนะเหล่านั้นวนว่ายอยู่ในวัฏฏะของมนุษย์ ส่งเสียงอยู่ที่นั่นที่นี่ ส่วนนั้นส่วนนี้ของโลก
บ้างกระซิบ บ้างกู่ก้องร้องตะโกน
ขณะคนแล้วคนเล่าตายจากเราไป...
ทั้งที่เป็นญาติ, เพื่อนสนิท, คนรัก หรือกระทั่งคนที่เราเกลียดชัง
ถึงวันนี้และวินาทีนี้ "การเกิด" และ "การตาย" ยังดำรงอยู่ และยังมีผู้ลังเลสงสัยต่อ "ความตาย" อยู่เช่นเดิม
ทั้งที่นับวันเราจะมี "ความรู้" เกี่ยวกับความตายมากขึ้น
และมี "สื่อ" ที่จะนำความรู้เหล่านั้นไปสู่ผู้คนได้มากขึ้น และครอบคลุมพื้นที่ยิ่งขึ้นทุกที
หรือเพียงมีความรู้ แต่กลับปราศจากปัญญา...
ครั้งหนึ่ง เคยมีคนถามท่านพุทธทาสภิกขุ ว่า ทำอย่างไรจึงจะไม่ต้องตาย
ว่ากันว่า ท่านหัวเราะ หึ ๆ แล้วตอบว่า "ไม่มีผู้เกิด จะมีผู้ตายได้อย่างไร" ..
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น